วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อะไรหนอเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

http://pantip.com/topic/30901382/comment9


อะไรหนอเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม.

กระทู้สนทนา
อะไรหนอเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม.

อานนท์! อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา)
ในอริยวินัยเป็นอย่างไรเล่า ?

____________

อานนท์! ในกรณีนี้
อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ ทั้งเป็นที่ชอบใจ
และไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุเพราะเห็นรูปด้วยตา

ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้
เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขต)
เป็นของหยาบ ๆ (โอฬาริก)
เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (ปฎิจฺจ สมุปฺปนฺน)
แต่มีสิ่งโน้นซึ่งรำงับและประณีต, กล่าวคือ อุเบกขา” ดังนี้


เมื่อรู้ชัดอย่างนี้:
อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ ทั้งเป็นที่ชอบใจ
และไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นย่อมดับไป, อุเบกขายังคงดำรงอยู่

อานนท์! อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ ทั้งเป็นที่ชอบใจ
และไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นย่อมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู่
อานนท์! นี้แลเราเรียกว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย ในกรณีแห่งรูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ

(ในกรณีแห่ง เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสตะ กลิ่นที่รู้แจ้งด้วยฆานะ รสที่รู้แจ้งด้วยชิวหา โผฎฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยผิวกาย
และธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ ทรงตรัสอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่อุปมาแห่งความเร็วในการดับแห่งอารมณ์นั้น ๆ คือ

กรณีเสียง เปรียบด้วยความเร็วแห่งการดีดนิ้วมือ
กรณีกลิ่น เปรียบด้วยความเร็วแห่งหยดน้ำตกจากใบบัว
กรณีรส เปรียบด้วยความเร็วแห่งน้ำลายที่ถ่มจากปลายลิ้นของคนแข็งแรง
กรณีโผฎฐัพพะ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการเหยีดแขนพับแขนของคนแข็งแรง
กรณีธรรมารมณ์ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการแห้งของหยดน้ำบนกระทะเหล็กที่ร้อนแดงอยู่ตลอดวัน)

____________

(พุทธวจน)
อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๒-๕๔๕/๘๕๖-๘๖๑

18 ความคิดเห็น:

  1. ความมีสติครับ

    ผู้ที่ปฏิบัติธรรมมากจะมีสติ

    สติตามทันอารมณ์

    มีสมาธิเหมาะแก่การใช้งาน

    จึงฟุ้งซ่านน้อยลง รัก โลภ โกรธ หลง น้อยลง

    เป็นผลให้

    คิดรอบคอบมากขึ้น

    คิดละเอียดมากขึ้น

    คิดมากขึ้น

    จนกระทั่งคิดได้อย่างโยนิโสมนสิการ

    โยนิโสมนสิการเป็นไวพจน์กับวิปัสสนา

    เป็นการเจริญธรรม

    ถ้ากระทำมากๆจะเจริญเป็นความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

    ลักษณะผู้ที่ก้าวหน้าทางธรรม

    คือ

    อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ไม่อ่อนแอ

    ไม่ก้าวร้าว แต่กล้าหาญในสัจจธรรม

    สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในคุณลักษณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะมีเอง

    ใครเลียนแบบไม่ได้

    เพราะว่า

    การก้าวหน้าในทางธรรมหมายถึง

    การเข้าใจ เข้าถึง ธรรม

    และอยู่ใน ธรรม

    ไม่ใช่

    จำตำราธรรมะได้มาก

    ปัญหาที่คนความจำดีจำตำราธรรมะได้มาก

    คือ

    หลงตัวเอง

    เพราะในทางโลกีย หรือทางโลก

    ใครที่จำเก่งถือว่าเป็นคนเก่ง คนฉลาด ไมีต้องเป็นคนดีมีคุณธรรมก็ได้

    สังคมโลกีย์เขาวัดกันที่ความจำดี

    ตั้งแต่การสอบแข่งขันเข้าเรียน

    ให้รังวัลคนเรียนดีเรียนเก่ง

    หรือ

    การสอบแข่งขันเข้าทำงาน

    และความจำนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญในความก้าวหน้าในการงาน

    ไม่เว้นแม้แต่นักการเมือง

    ที่ต้องใช้วาทะดึงดูดความนิยมชื่นชอบจากมวลชน

    ต้องอาศัยความจำจึงจะทำให้พูดได้คล่องพูดได้เก่ง

    และมีความก้างหน้าในชีวิตนักการเมือง

    เป็นต้น


    ในทางโลกุตรไม่เป็นเช่นนั้น

    ความก้าวหน้าในทางธรรมไม่จำเป็นต้องจำตำราได้มากๆ

    แต่ต้องมีจิตสำนึกที่ดี

    คือต้องเป็นคนมีคุณธรรม ซึงอาจจะอ่านหนังสือไม่ออก

    หรือ

    อธิบายไม่เป็น

    ความจริงแล้ว

    ธรรม วิมุติธรรมก็ไม่มีใครอธิบายได้ เป็นปัจตัง

    คนที่รู้รู้เฉพาะตัว รู้แล้วก็ไม่ต้องการโอ้อวด

    เพราะ

    หมดเชื้อความอยากที่จะโอ้อวดจากการการเข้าถึงธรรมนั้นแล้ว

    หมดความขี้สงสัย

    เหมือนหงายถ้วยที่คว่ำไว้

    สิ่งเหล่านี้เป็นความก้าวหน้าทางธรรม



    ความก้าวหน้าทางธรรมจึงมิใช่การท่องจำพระไตรปิฎก

    แต่ คือคนที่สามารถวางพระไตรปิฎกลงได้

    และ

    โดยไม่ต้องเปิดพระไตรปิฎกก็รู้ธรรมที่บันทึกในพระไตรปิฎกได้

    และไม่มีวันผิดพลาดด้วย

    นี่คือความก้าวหน้าทางธรรม


    พระไตรปิฎกที่แท้นั้น

    ใครจะพิทักษ์ไม่ได้

    ใครจะฉีกก็ไม่ได้

    ไม่มีใครสามารถเป็นผู้พิทักษ์พระไตรปิฎกได้

    เพราะ

    พระไตรปิฎกเป็นกฎแห่งธรรมชาติ

    กฎที่ตั้งอยู่อย่างนั้นมา เป็นเช่นนั้น

    พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ค้นพบธรรมนั้น

    พระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงเป็นผู้พิทักษ์ธรรมนั้น

    และทรงตรัสว่า

    ให้ใช้ธรรมเป็นดังแพเป็นพาหนะสำหรับข้ามฟาก

    มิใช้ใช้ธรรมเป็นดังสิ่งของอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับเคารพบูชา

    ดังแบกแพทูนไว้บนบ่าเพื่อสักระ

    เพราะนอกจากไม่บรรลุธรรมแล้ว

    ยังหนักบ่าอีกด้วย

    ตอบลบ
  2. อานนท์! อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา)
    ในอริยวินัยเป็นอย่างไรเล่า ?

    Solution:

    โพธิปักขิยธรรม(มรรคมีองค์ 8, อินทรีย์5 ฯลฯ) = อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ

    โพธิปักขิยธรรม(มรรคมีองค์ 8, อินทรีย์5 ฯลฯ) ทำให้ อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ เกิดขึ้น

    โพธิปักขิยธรรม(มรรคมีองค์ 8, อินทรีย์5 ฯลฯ) ทำให้ การทำให้ความสามารถหลักทางจิต5ประการ ชั้นเลิศ เกิดขึ้น

    โพธิปักขิยธรรม(มรรคมีองค์ 8, อินทรีย์5 ฯลฯ)
    lead to
    พระนิพพาน

    มีต่อ

    ตอบลบ
  3. อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ
    =
    การทำให้อินทรีย์ 5 เกิดขึ้น ชั้นเลิศ
    =
    การทำให้ความสามารถหลักทางจิต5ประการ เกิดขึ้น ชั้นเลิศ
    ____________

    Ref: อินทรีย์5
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=228
    [228] พละ 5 (ธรรมอันเป็นกำลัง — power)
    1. สัทธา (ความเชื่อ — confidence)
    2. วิริยะ (ความเพียร — energy; effort)
    3. สติ (ความระลึกได้ — mindfulness)
    4. สมาธิ (ความตั้งจิตมั่น — concentration)
    5. ปัญญา (ความรู้ทั่วชัด — wisdom; understanding)

    Ref:
    http://th.wikipedia.org/wiki/อินทรีย์_5

    อินทรีย์ หรือ อินทรีย์ 5 คือ ความสามารถหลักทางจิต ห้า ประการ ได้แก่

    สัทธินทรีย์ คือ ความศรัทธา ในโพธิปักขิยธรรม
    วิริยินทรีย์ คือ ความเพียร ในสัมมัปปธาน
    สตินทรีย์ คือ ความระลึกได้ ในสติปัฏฐาน
    สมาธินทรีย์ คือ ความตั้งมั่น ในญาณ
    ปัญญินทรีย์ คือ ความเข้าใจ ในอริยสัจ


    Ref: ภาวนา
    http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%C0%D2%C7%B9%D2
    ภาวนา การทำให้มีขึ้นเป็นขึ้น, การทำให้เกิดขึ้น, การเจริญ, การบำเพ็ญ
    1. การฝึกอบรม ตามหลักพระพุทธศาสนา มี ๒ อย่าง คือ
    ๑. สมถภาวนา ฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ
    ๒. วิปัสสนาภาวนา ฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้เข้าใจตามเป็นจริง,
    อีกนัยหนึ่ง จัดเป็น ๒ เหมือนกันคือ
    ๑. จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็งมั่นคง เบิกบาน สงบสุขผ่องใส พร้อมด้วยความเพียร สติ และสมาธิ
    ๒. ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์
    2. การเจริญสมถกรรมฐานเพื่อให้เกิดสมาธิ มี ๓ ขั้น คือ
    ๑. บริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นตระเตรียม คือกำหนดอารมณ์กรรมฐาน
    ๒. อุปจารภาวนา ภาวนาขั้นจวนเจียน คือเกิดอุปจารสมาธิ
    ๓. อัปปนาภาวนา ภาวนาขั้นแน่วแน่ คือเกิดอัปปนาสมาธิเข้าถึงฌาน

    มีต่อ

    ตอบลบ
  4. อินทรีย์5:
    1 ศรัทธา
    2 วิริยะ(สัมมาวายามะ)
    3 สติ(สัมมาสติ)
    4 สมาธิ(สัมมาสมาธิ)
    5 ปัญญา(สัมมาทิฏฐิ)

    ภาวนา = สติปัฏฐาน= สัมมาสติ
    ____________

    ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า
    “อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้
    เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขต)

    สัมมาทิฏฐิ[“อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขต)]
    lead to
    สัมมาวายามะ
    lead to
    สัมมาสติ(ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า)
    ____________

    โพธิปักขิยธรรม(มรรคมีองค์ 8, อินทรีย์5 ฯลฯ)
    lead to
    พระนิพพาน

    การอ้างอิง:

    [228] พละ 5
    http://th.wikipedia.org/wiki/อินทรีย์_5
    http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ภาวนา
    ตอบกลับ
    0 1
    สมาชิกหมายเลข 917113
    15 ชั่วโมงที่แล้ว

    ตอบลบ
  5. Ref:
    http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4b8ce49d1bf45a25
    อาจารย์ครับ ผมเห็นว่า มี สติหรือความไม่ประมาท + วีรฺยหรือความกล้าความขยัน แค่นี้ก็เกือบพระอรหันต์แล้ว ใช่ไหมครับ?

    ปล: เป็นคำถามและคำตอบที่ลึกซึ้งจริงใจและเต็มไปด้วยข้อมูลสัมมาทิฏฐิที่สุดที่ผมเคยพบมาใน กูรู เลยครับ



    ...
    ความเพียรในภาษาไทย เราเรียกว่าเพียร หรือ พยายาม เพียงคำเดียว แต่ในภาษาบาลี ใช้ในที่ต่างๆกัน

    ตามความเข้าใจของตน กระบวนการในพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้

    เมื่อเราเริ่มทำอะไรสักอย่างด้วยความศรัทธา พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า อุสสาหะ เช่น เมื่อศรัทธาจึงเข้าหาสัตตบุรุษ จึงได้ฟังธรรม จึงทรงจำไว้ จึง มีอุสสหะในการพิจารณาธรรม (น่าจะเพราะอุสสาหะมีความหมายว่างอกขึ้นด้วย)

    การพิจารณาธรรมเพื่อค้นหาความจริง ก็เป็นการเริ่มทำอะไรที่เป็นกุศล จึงจัดเข้าเป็นสัมมัปปธาน (การเมื่อเราเริ่มต้นพยายามทำอะไรเพื่อกัน ละ อกุศล และริ รักษา กุศล ที่พระองค์ท่านตรัสเรียกว่า สัมมัปปธานนนั้น น่าจะเพราะปธานนิกจากกจะมีความหมายว่าเพียรแล้ว ยังมีความหมายว่าเข้าไปตั้งไว้ พึงตั้งไว้ด้วย และ เบื้องต้น อีกด้วย) สัมมัปปธานนี้เป็นองค์ธรรมที่ต้องมีตั้งแต่เริ่มต้นไปจนกระทั่งจบพรหมจรรย์ (ดังที่ตรัสไว้ในเอสนาทิสุตตทสกสูตร) ว่านอกจากจะเป็นการเจริญเพื่อละการแสวงหากาม ภพ และ พรหมจรรย์ แล้ว ยังเพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่ออุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕

    เมื่อเริ่มต้นแล้ว เพราะธรรมนั้นทนต่อการเพ่งพิสูจน์ จึงมีฉันทะที่จะปฏิบัติตามธรรมในพุทธศาสนาตามมา ซึ่งก็คือฉันทะในอิทธิบาทนั่นเอง ซึ่งองค์ธรรมในอิทธิบาทคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา นั้น นอกเหนือไปจากฉันทะแล้วท่านพุทธทาสให้ความเห็นว่าเป็นความเพียรทั้งหมด เพียงแต่หากเน้นไปที่กำลังกายก็เป็นวิริยะ เน้นไปที่จิต เป็นจิตตะ เน้นไปที่ปัญญา เป็นวิมังสา และว่าเป็นกระบวนการทั้งหมดของพระพุทธองค์ตั้งแต่เริ่มต้นแสวงหาจวบตรัสรู้

    ตอบลบ
  6. ต่อ

    Ref:
    http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4b8ce49d1bf45a25
    อาจารย์ครับ ผมเห็นว่า มี สติหรือความไม่ประมาท + วีรฺยหรือความกล้าความขยัน แค่นี้ก็เกือบพระอรหันต์แล้ว ใช่ไหมครับ?

    ปล: เป็นคำถามและคำตอบที่ลึกซึ้งจริงใจและเต็มไปด้วยข้อมูลสัมมาทิฏฐิที่สุดที่ผมเคยพบมาใน กูรู เลยครับ



    ...
    ความเพียรในภาษาไทย เราเรียกว่าเพียร หรือ พยายาม เพียงคำเดียว แต่ในภาษาบาลี ใช้ในที่ต่างๆกัน

    ตามความเข้าใจของตน กระบวนการในพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้

    เมื่อเราเริ่มทำอะไรสักอย่างด้วยความศรัทธา พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า อุสสาหะ เช่น เมื่อศรัทธาจึงเข้าหาสัตตบุรุษ จึงได้ฟังธรรม จึงทรงจำไว้ จึง มีอุสสหะในการพิจารณาธรรม (น่าจะเพราะอุสสาหะมีความหมายว่างอกขึ้นด้วย)

    การพิจารณาธรรมเพื่อค้นหาความจริง ก็เป็นการเริ่มทำอะไรที่เป็นกุศล จึงจัดเข้าเป็นสัมมัปปธาน (การเมื่อเราเริ่มต้นพยายามทำอะไรเพื่อกัน ละ อกุศล และริ รักษา กุศล ที่พระองค์ท่านตรัสเรียกว่า สัมมัปปธานนนั้น น่าจะเพราะปธานนิกจากกจะมีความหมายว่าเพียรแล้ว ยังมีความหมายว่าเข้าไปตั้งไว้ พึงตั้งไว้ด้วย และ เบื้องต้น อีกด้วย) สัมมัปปธานนี้เป็นองค์ธรรมที่ต้องมีตั้งแต่เริ่มต้นไปจนกระทั่งจบพรหมจรรย์ (ดังที่ตรัสไว้ในเอสนาทิสุตตทสกสูตร) ว่านอกจากจะเป็นการเจริญเพื่อละการแสวงหากาม ภพ และ พรหมจรรย์ แล้ว ยังเพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่ออุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕

    เมื่อเริ่มต้นแล้ว เพราะธรรมนั้นทนต่อการเพ่งพิสูจน์ จึงมีฉันทะที่จะปฏิบัติตามธรรมในพุทธศาสนาตามมา ซึ่งก็คือฉันทะในอิทธิบาทนั่นเอง ซึ่งองค์ธรรมในอิทธิบาทคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา นั้น นอกเหนือไปจากฉันทะแล้วท่านพุทธทาสให้ความเห็นว่าเป็นความเพียรทั้งหมด เพียงแต่หากเน้นไปที่กำลังกายก็เป็นวิริยะ เน้นไปที่จิต เป็นจิตตะ เน้นไปที่ปัญญา เป็นวิมังสา และว่าเป็นกระบวนการทั้งหมดของพระพุทธองค์ตั้งแต่เริ่มต้นแสวงหาจวบตรัสรู้

    พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับการฝึกสมาธิ การเป็นอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพราะ เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะรู้เห็นได้ตามที่เป็นจริง อิทธิบาทจึงมักตรัสผูกพันกับสมาธิ เช่น เมื่อฝึกสมาธิด้วยฉันทะจนจิตเป็นสมาธิ ตรัสเรียกว่าฉันทสมาธิ จิตเป็นสมาธิได้ด้วยวิริยะ ตรัสเรียกว่าวิริยสมาธิ เป็นต้น และเมื่อใช้จิตที่เป็นสมาธินั้นพิจารณาสภาวธรรมตามหลักของสัมมัปปธาน ตรัสคำว่าปธานสังขารเติมขึ้นมา เช่น วิริยสมาธิปธานสังขาร วิมังสาสมาธิปธานสังขาร เป็นต้น (ดังที่ตรัสในฉันทสมาธิสูตร)

    มีต่อ

    ตอบลบ
  7. ต่อ

    ตรัสว่า หากเจริญอิทธิบาทจนจิตเป็นสมาธิและประกอบด้วยปธานสังขาร หมายรู้ว่าเบื้องหน้าเหมือนเบื้องหลัง เบื้องบนเหมือนเบื้องล่าง (รวมทั้งในทางกลับกัน) หากทำให้มากจะมีอานิสงส์มากคือให้ได้ฤทธิ์ ให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะเพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน (วิภังคสูตร)

    ที่ว่าเบื้องหน้าเหมือนเบื้องหลัง เบื้องหลังเหมือนเบื้องหน้า หมายความว่าธรรมที่ทรงจำไว้ รู้แจ้งดีแล้วด้วยปัญญา ที่ว่าเบื้องบนเหมือนเบื้องล่าง เบื้องล่างเหมือนเบื้องบน หมายความว่าพิจารณากายตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป ตั้งแต่ปลายผมลงมา อันเป็นกายคตาสติในสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง

    จึงเริ่มตั้งสติติดตามกาย เวทนา จิต ธรรม คือปรารภสติปัฏฐาน ๔ (พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อปรารภอิทธิบาท ๔ ปรารภสติปัฏฐาน ๔ ก็เท่ากับปรารภอริยมรรคแล้ว)

    เพียรด้วยอะไร สิ่งนั้นก็เป็นใหญ่ในหน้าที่ตน คือเป็นอินทรีย์ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) จนเมื่อเพียรตามสัมมัปปธานอย่างบากบั่น วิริยะก็กลายเป็นวิริยินทรีย์ เมื่อเพียรมีสติปัฏฐาน เพียรสำรวมอินทรีย์ สติก็เป็นสตินทรีย์ เมื่อสติมั่นคง ใช้เป็นฐานของปัญญาเพื่อพิจารณา จนเห็นแจ้งว่า สังสารต้นปลายสัตว์ที่มีอวิชชาปิดบังรู้ไม่ได้ แต่คำสอนในพุทธศาสนาทำให้สงบ เป็นทางอันประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความกำหนัด ความดับ นิพพาน ปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญินทรีย์ ครั้นเมื่อเพียรพิจารณาเกี่ยวกับองค์ธรรมใดหรืออารมณ์ใดอยู่อย่างนี้จนเห็นแจ้งด้วยจิต (ไม่ใช่ด้วยตัวอักษร) ศรัทธาก็หมุนไปเป็นสัทธินทรีย์ (ตรัสล้อความพระสารีบุตรในอาปณสูตร)

    เมื่อมีความเพียร และ ประกอบด้วย " ความไม่ประมาท " อินทรีย์ ๕ จึงเต็มบริบูรณ์ (ตามคำตรัสในปติฏฐิตสูตร) จนกลายเป็นกำลังแก่ตน วิริยะในอินทรีย์ จึงกลายเป็นวิริยพละ (องค์ธรรมในอินทรีย์แก่กล้าขึ้นจนบริบูรณ์ทั้งหมดก็เป็นพละทั้งหมด)

    ครั้นเมื่อ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มีกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "สติ" จึงคว้าธรรมได้ไวขึ้น เมื่อคว้าธรรมเฉพาะหน้าไว้ หรือ ระลึกถึงธรรม การกระทำที่จบไปนานแล้วมาพิจารณาให้เห็นธรรม (ธัมมวิจัย) ก็เท่ากับได้เข้าสู่กระบวนธรรมในโพชฌงค์ ๗ เพียรหรือวิริยะในการพิจารณาจนกว่าจะเห็นแจ้ง วางจิตเป็นกลางด้วยปัญญา

    เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ความเพียรทั้งหมดนั้น ก็คือสัมมาวายามในมรรคมีองค์ ๘

    จึงเห็นได้ว่าวิริยะนั้น มีอยู่ในทุกกระบวนการ เริ่มตั้งแต่อิทธิบาท ๔ เป็นต้นมาเลย
    ...

    ตอบลบ
  8. Ref:
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปธาน 4

    [156] ปธาน 4 (ความเพียร - effort; exertion)
    1. สังวรปธาน (เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น - the effort to prevent; effort to avoid)
    2. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว - the effort to abandon; effort to overcome)
    3. ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมี - the effort to develop)
    4. อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นและให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ - the effort to maintain)

    ปธาน 4 นี้ เรียกอีกอย่างว่า สัมมัปปธาน 4 (ความเพียรชอบ, ความเพียรใหญ่ - right exertions; great or perfect efforts).

    ____________

    การอ้างอิง:

    http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4b8ce49d1bf45a25
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปธาน 4
    แก้ไขข้อความเมื่อ 15 ชั่วโมงที่แล้ว
    ตอบกลับ
    0 0
    สมาชิกหมายเลข 917113
    15 ชั่วโมงที่แล้ว

    ตอบลบ
  9. โพธิปักขิยธรรม

    Ref:
    http://84000.org/tipitaka/read/?35/611/336

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒
    วิภังคปกรณ์


    [๖๑๑] บทว่า เจริญโพธิปักขิยธรรม มีอธิบายว่า โพธิปักขิยธรรม
    เป็นไฉน
    โพชฌงค์ ๗ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัม-
    *โพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขา-
    *สัมโพชฌงค์ ธรรมเหล่านี้ เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ภิกษุ ย่อมเสพ เจริญ
    ทำให้มาก ซึ่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญโพธิ-
    *ปักขิยธรรม

    การอ้างอิง:

    http://84000.org/tipitaka/read/?35/611/336
    ตอบกลับ
    0 0
    สมาชิกหมายเลข 917113
    15 ชั่วโมงที่แล้ว

    ตอบลบ
  10. เป็นเพียงความเห็นเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ:


    Question:
    อะไรหนอเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม.


    Solution:

    About: เครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

    "ถ้าปฏิบัติในระดับโลกิยะ ก็ใช้โลกิยะปัญญา เป็นเครื่องวัด"

    "ถ้าปฏิบัติในระดับโลกุตตระ ก็ใช้โลกุตตรปัญญา เป็นเครื่องวัด"



    About: Level การปฏิบัติธรรม

    "หัวใจพระพุทธศาสนา ตาม Step ครับ"

    Step 1:
    โลกิยะปัญญาจากพระธรรมซึ่งแสดงโดยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า@โลกิยะจิต

    Step 2:
    ศีล@โลกิยะจิต

    Step 3:
    สมาธิ@โลกิยะจิต

    Step 4:
    โคตรภูญาณ

    Step 5:
    โลกุตตระปัญญา@โลกุตตรจิต

    Step 6:
    พระโสดาบัน ละ สักกายทิฏฐิ ได้ด้วย โลกุตตรปัญญา


    เป็นเพียงความเห็นเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ:
    ตอบกลับ
    0 0
    สมาชิกหมายเลข 917113
    15 ชั่วโมงที่แล้ว

    ตอบลบ