สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อยเพราะไม่รู้อริยสัจ..มารู้จักอริยสัจสี่กัน...
สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อยเพราะไม่รู้อริยสัจ
ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ฝุ่นนิดหนึ่ง
ที่เราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนั้น ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละเป็นดินที่มากกว่า. ฝุ่นนิดหนึ่ง
เท่าที่ทรงช้อนขึ้นด้วยปลายพระนขานี้ เป็นของมีประมาณน้อย. ฝุ่นนั้น เมื่อนำเข้าไปเทียบ
กับมหาปฐพี ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำนวณได้ เปรียบเทียบได้ ไม่เข้าถึงแม้ซึ่งกะละภาค
(ส่วนเสี้ยว)”.
ภิกษุ ท. ! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น : สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่
หมู่มนุษย์ มีน้อย ; สัตว์ที่เกิดกลับเป็นอย่างอื่นจากหมู่มนุษย์ มีมากกว่า
โดยแท้. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ข้อนั้น เพราะความที่สัตว์
เหล่านั้นไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่. อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ อริยสัจคือ
ทุกข์ อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรม๑
อันเป็ นเครื่องกระทำให้รู้ว่า “ทุกข์ เป็นอย่างนี้, เหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็น
อย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่
เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้”, ดังนี้.
- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.
คนเราก็คือสัตว์ คือเกิดมาเป็นสัตว์
ตอบลบจะเห็นว่าในพระธรรมกล่าวว่า"สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อยเพราะไม่รู้อริยสัจ."
นั้นหมายถึง
การเป็นมนุษย์ได้ตองเป็นอริยบุคคลนั่นเองเพราะรู้ อริยสัจ
ในสมมุติบัญัติ พอเรียงลำดับสัตว์ที่เกิดตามคุณธรรมได้ดังนี้
ที่เกิดจากครรภ์มารดาคือสัตว์
เมื่อมีศีล สมาธิ ปัญญา จนบรรลุธรรม เรียก มนุษย์
มนุษย์ที่บรรลุธรรมสูงๆขึ้นไป มีศีล มีธรรมมาก เรียกเทวดา เช่นกษัตริย์
มนุษย์ที่บรรลุธรรมสูงมากๆ มีฌาณสมาบ้ติเรียก พรหม
บุคคลที่เรียกกันในพระไตรปิฎกเป็นอย่างนี้
ผมเรียงลำดับว่า
ตอบลบคนเราก็คือสัตว์ คือเกิดมาเป็นสัตว์
จะเห็นว่าในพระธรรมกล่าวว่า"สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อยเพราะไม่รู้อริยสัจ."
นั้นหมายถึง
การเป็นมนุษย์ได้ตองเป็นอริยบุคคลนั่นเองเพราะรู้ อริยสัจ
ในสมมุติบัญัติ พอเรียงลำดับสัตว์ที่เกิดตามคุณธรรมได้ดังนี้
ที่เกิดจากครรภ์มารดาคือสัตว์(ทำไมเรียกสัตว์ ไม่เรียกมนุษย์)
เมื่อมีศีล สมาธิ ปัญญา จนบรรลุธรรม จึงเรียก มนุษย์(เป็นที่น่าสังเกตุ)
มนุษย์ที่บรรลุธรรมสูงๆขึ้นไป มีศีล มีธรรมมาก เรียกเทวดา เช่นกษัตริย์(ที่เราเรียกกันว่าสมมุติเทพ)
มนุษย์ที่บรรลุธรรมสูงมากๆ มีฌาณสมาบ้ติเรียก พรหม
บุคคลที่เรียกกันในพระไตรปิฎกเป็นอย่างนี้ (จึงนำมาโยนิโสมนสิการตามหลักธรรม ผิดไหมครับ)
จากบทธรรมะที่กระตุ้นใหเกิดความคิดแตกแขนงออกไป
ตอบลบโดย คณะสหายธรรม
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=23
ถาม คนเราหากตาย วิญญาณออกจากร่าง เราจะรู้ตอนไหนว่าเราตายแล้ว
ตอบ ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจคำว่าวิญญาณ เสียก่อนว่า
วิญญาณนั้นได้แก่ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ได้นึกคิดได้เป็นอย่างเดียวกับจิต
จิตกับวิญญาณนั้นเป็นคำที่ใช้แทนกันได้
จิตที่ทำหน้าที่เกิดเรียกว่าปฏิสนธิจิต หรือปฏิสนธิวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่เห็นทางตาเรียกว่า จักขุวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่ได้ยินเสียงทางหูเรียกว่า โสตวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่รู้กลิ่นทางจมูกเรียกว่า ฆานวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่ลิ้มรสทางลิ้นเรียกว่า ชิวหาวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางใจเรียกว่า มโนวิญญาณ
เพราะฉะนั้น จิตกับวิญญาณจึงเหมือนกัน เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ มิได้มีโลกของวิญญาณที่แยกออกไปต่างหากจากจิต
คือมิได้มีโลกของวิญญาณตามที่หลายคนเข้าใจ คือมีหลายคนเข้าใจว่าสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะออกจากร่างกายไปล่องลอยหาที่เกิดหรือไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อรอเวลาไปเกิดใหม่ คือรอเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก ความจริง ความเข้าใจเหล่านั้นเป็นความเข้าใจผิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนั้น พระองค์ตรัสแต่ว่า เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด
ถ้าบาปกรรมนำเกิด ก็เกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายหรือสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าบุญกรรมนำเกิด ก็เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีการรอเวลา หรือต้องไปพักอยู่ที่ใดเลย เพราะตายแล้วเกิดทันที สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ด้วยเหตุนี้ ตอนตายจริงๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าตนกำลังตาย เพราะจิตที่กำลังตายกับจิตที่รู้ว่าตายแล้วหรือกำลังตายนั้นเป็นจิตคนละจิตกัน
และที่คุณถามว่า คนตายตอนวิญญาณออกจากร่าง
คำว่าวิญญาณออกจากร่างก็ไม่มี เพราะวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น คือ
เกิดทางตาก็ดับทางตา เกิดทางหูก็ดับทางหู
เกิดทางจมูกก็ดับทางจมูก เกิดทางลิ้นก็ดับทางลิ้น
เกิดทางกายก็ดับทางกาย เกิดทางใจก็ดับทางใจ
เพราะฉะนั้นจึงออกไปจากร่างไม่ได้ ถ้าออกจากร่างได้ก็หมายความว่า วิญญาณไม่ดับจึงจะล่องลอยไปได้ ถ้าเช่นนั้นวิญญาณก็เป็นรูป ถึงจะล่องลอยไปไหนได้ และเมื่อวิญญาณไม่ดับล่องลอยไปได้ วิญญาณก็เป็นของเที่ยง ซึ่งผิดหลักพระพุทธศาสนาอีก
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่เฉพาะแต่วิญญาณเท่านั้น รูป เวทนา สัญญา สังขารก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่เที่ยง คือไม่เกิดไม่ดับ หรือเกิดแล้วไม่ดับ
อีกประการหนึ่ง จิตหรือวิญญาณเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง จึงล่องลอยไปไหนไม่ได้ เกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
....................................................................................
ที่ผมระบายสีเอาไว้
ผมตั้งสมมุติฐานว่า
คุณธรรมระดับกษัตริย์ (เรียกว่าภว หรือชาติ ในปฏิจจสมุปบาท ตามที่ผมเข้าใจ) คือระดับเทวดาในชาติปัจจุบันเช่นกัน
( เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด) ก็ไปเิกิดในภวของเทวดา
คุณธรรมระดับโยคี(โยควจร) ที่ปฏิบัติกกัมมฐานฝึกทำสมาธจนได้ฌาณ คือพรหมในชาติปัจจุบันเช่นกัน
( เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด )ก็ไปเกิดในภวของพรหม
สตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม เป็นสมมุติบัญญัติ
ตอบลบเหมือนช่องว่างกลางพื้นดินเรียกว่าหลุม
ช่องว่างที่หุบเขาเรียกว่าเหว
ในทางปรมัตถ์ ไม่มีสัตว์มาเกิด
ที่เกิดเกิดแต่เหตตุปัจจัย
อ้างอิงhttp://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=23
" คือมิได้มีโลกของวิญญาณตามที่หลายคนเข้าใจ คือมีหลายคนเข้าใจว่าสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะออกจากร่างกายไปล่องลอยหาที่เกิดหรือไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อรอเวลาไปเกิดใหม่ คือรอเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก ความจริง ความเข้าใจเหล่านั้นเป็นความเข้าใจผิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนั้น พระองค์ตรัสแต่ว่า เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด "
..........................................................
โดย คณะสหายธรรม
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=23
^^^^^^^^^^^^^^^^
คือมิได้มีโลกของวิญญาณตามที่หลายคนเข้าใจ คือมีหลายคนเข้าใจว่าสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะออกจากร่างกายไปล่องลอยหาที่เกิดหรือไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อรอเวลาไปเกิดใหม่ คือรอเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก ความจริง ความเข้าใจเหล่านั้นเป็นความเข้าใจผิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนั้น พระองค์ตรัสแต่ว่า เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด
ถ้าบาปกรรมนำเกิด ก็เกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายหรือสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าบุญกรรมนำเกิด ก็เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีการรอเวลา หรือต้องไปพักอยู่ที่ใดเลย เพราะตายแล้วเกิดทันที สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ด้วยเหตุนี้ ตอนตายจริงๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าตนกำลังตาย เพราะจิตที่กำลังตายกับจิตที่รู้ว่าตายแล้วหรือกำลังตายนั้นเป็นจิตคนละจิตกัน
และที่คุณถามว่า คนตายตอนวิญญาณออกจากร่าง
คำว่าวิญญาณออกจากร่างก็ไม่มี เพราะวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น คือ
เกิดทางตาก็ดับทางตา เกิดทางหูก็ดับทางหู
เกิดทางจมูกก็ดับทางจมูก เกิดทางลิ้นก็ดับทางลิ้น
เกิดทางกายก็ดับทางกาย เกิดทางใจก็ดับทางใจ
เพราะฉะนั้นจึงออกไปจากร่างไม่ได้ ถ้าออกจากร่างได้ก็หมายความว่า วิญญาณไม่ดับจึงจะล่องลอยไปได้ ถ้าเช่นนั้นวิญญาณก็เป็นรูป ถึงจะล่องลอยไปไหนได้ และเมื่อวิญญาณไม่ดับล่องลอยไปได้ วิญญาณก็เป็นของเที่ยง ซึ่งผิดหลักพระพุทธศาสนาอีก
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่เฉพาะแต่วิญญาณเท่านั้น รูป เวทนา สัญญา สังขารก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่เที่ยง คือไม่เกิดไม่ดับ หรือเกิดแล้วไม่ดับ
อีกประการหนึ่ง จิตหรือวิญญาณเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง จึงล่องลอยไปไหนไม่ได้ เกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
............................................................
จึงมิใช่สัตวที่กลับไปเกิด
ที่เกิดคือ
"พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนั้น พระองค์ตรัสแต่ว่า เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด "
แก้ไขข้อความเมื่อ 19 วินาทีที่แล้ว
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นเทพ เป็นอย่างไรเล่า ?
ตอบลบภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกาม และสงัดแล้วจากสิ่งอันเป็นอกุศลทั้งหลาย
บรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่;
เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ บรรลุฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจใน
ภายใน ทำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร มีแแต่ปีติและสุข อัน
เกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่; เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติ-
สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้า
กล่าวว่า "ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข" ดังนี้ แล้วแลอยู่;
เพราะละสุขและละทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัส
ในกาลก่อน บรรลุฌานที่สี่ อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติ
บริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นเทพ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นพรหม เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ แผ่จิตอันประกอบด้วยเมตตา, กรุณา, มุฑิตา, อุเบกขา สู่ทิศที่หนึ่ง
ทิศที่สอง ที่สาม และที่สี่ โดยลักษณะอย่างเดียวกันตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง
ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ และด้านขวาง, ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา, กรุณา,
มุทิตา, อุเบกขา อันไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท เป็นจิตกว้างขวาง ประกอบด้วยคุณ
อันใหญ่หลวงหาประมาณมิได้ แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นพรหม ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงอาเนญชา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้, เพราะผ่านพ้นการกำหนดจดหมายในรูปเสียได้ โดยประการทั้งปวง,
เพราะความดับแห่งการกำหนดหมายในอารมณ์ที่ขัดใจ. และเพราะการไม่ทำในใจ
ซึ่งการกำหนดหมายในภาวะต่าง ๆ เสียได้ เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการ
ทำในใจว่า "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด" ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นอากาสา-
นัญจายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจ
ว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจาย-
ตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง เข้าถึงอากิญจัญญยตนะ อันมีการทำในใจว่า
"อะไร ๆ ไม่มี" ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นอากิญกัจจายตนะเสียได้
โดยประการทั้งปวง เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ, แล้วแลอยู่,
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงอาเนญชา ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นอริยะ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ", ย่อมรู้ชัดตามที่เป็น
จริงว่า "เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ". ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ความ
ดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ", ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ข้อปฏิบัติ
เครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้.ๆ" ดังนี้.
ภิกษุ ท.! ภิกษุผู้ถึงความเป็นอริยะ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๔๙/๑๙๐.
http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/987/index.html
คนดู
มีต่อ
ต่อ
ตอบลบอสุรสูตร
[๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารจำพวก ๑
เป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารจำพวก ๑
เป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารจำพวก ๑
เป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม แม้บริษัทของเขาก็เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม แต่บริษัทของเขาเป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม แต่บริษัทของเขาเป็นคนทุศีล มีบาปธรรม
บุคคลเป็นคนเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวาร อย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม แม้บริษัทของเขาก็เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม
บุคคลเป็นคนเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=21&A=2501&Z=2524&pagebreak=0
^^^^^
ตัวอย่างของพระพุทธภาษิต ที่ตรัสเรื่อง ... เทพ พรหม เทวดาต่างๆ อสูร ยักษ์ ฯลฯ ...
แท้จริงแล้ว ทรงตรัสถึงสภาพ หรือ สภาวะของจิต ที่กำลังอยู่ในสภาวธรรม/ภูมิธรรมหนึ่งๆ ณ ปัจจุบันขณะนั้นๆ
ซึ่งปุถุชน (สัตว์) ยังคงวนเวียนอยู่กับสภาวะของจิตแบบที่ตรัสได้ โดยที่ยังเป็นๆ ไม่ต้องตายเข้าโลง ได้ตลอดเวลา ....
เลือกคำตอบนี้ ตอบกลับ
1 1
คนดู
29 นาทีที่แล้ว