ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นเทพ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกาม และสงัดแล้วจากสิ่งอันเป็นอกุศลทั้งหลาย
บรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่;
เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ บรรลุฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจใน
ภายใน ทำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร มีแแต่ปีติและสุข อัน
เกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่; เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติ-
สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้า
กล่าวว่า "ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข" ดังนี้ แล้วแลอยู่;
เพราะละสุขและละทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัส
ในกาลก่อน บรรลุฌานที่สี่ อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติ
บริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นเทพ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นพรหม เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ แผ่จิตอันประกอบด้วยเมตตา, กรุณา, มุฑิตา, อุเบกขา สู่ทิศที่หนึ่ง
ทิศที่สอง ที่สาม และที่สี่ โดยลักษณะอย่างเดียวกันตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง
ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ และด้านขวาง, ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา, กรุณา,
มุทิตา, อุเบกขา อันไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท เป็นจิตกว้างขวาง ประกอบด้วยคุณ
อันใหญ่หลวงหาประมาณมิได้ แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นพรหม ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงอาเนญชา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้, เพราะผ่านพ้นการกำหนดจดหมายในรูปเสียได้ โดยประการทั้งปวง,
เพราะความดับแห่งการกำหนดหมายในอารมณ์ที่ขัดใจ. และเพราะการไม่ทำในใจ
ซึ่งการกำหนดหมายในภาวะต่าง ๆ เสียได้ เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการ
ทำในใจว่า "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด" ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นอากาสา-
นัญจายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจ
ว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจาย-
ตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง เข้าถึงอากิญจัญญยตนะ อันมีการทำในใจว่า
"อะไร ๆ ไม่มี" ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นอากิญกัจจายตนะเสียได้
โดยประการทั้งปวง เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ, แล้วแลอยู่,
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงอาเนญชา ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นอริยะ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ", ย่อมรู้ชัดตามที่เป็น
จริงว่า "เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ". ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ความ
ดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ", ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ข้อปฏิบัติ
เครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้.ๆ" ดังนี้.
ภิกษุ ท.! ภิกษุผู้ถึงความเป็นอริยะ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๔๙/๑๙๐.
http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/987/index.html
อสุรสูตร
[๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารจำพวก ๑
เป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารจำพวก ๑
เป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารจำพวก ๑
เป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม แม้บริษัทของเขาก็เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม แต่บริษัทของเขาเป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม แต่บริษัทของเขาเป็นคนทุศีล มีบาปธรรม
บุคคลเป็นคนเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวาร อย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม แม้บริษัทของเขาก็เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม
บุคคลเป็นคนเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=21&A=2501&Z=2524&pagebreak=0
พุทธวจน!! ภิกษุ เข้าถึงความเป็นเทพ...เป็นพรหม..ในขณะมีชีวิต
ตอบลบศาสนาพุทธพระไตรปิฎก
[๑๙๐].....
ภิกษุถึงความเป็นเทพ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่าถึงความเป็นเทพ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ
บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุ จตุตถฌาน ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าถึงความเป็นเทพ
ภิกษุถึงความเป็นพรหม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่าถึงความเป็นพรหม
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง
ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็ เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง
แผ่ไปตลอดโลก ทั่ว สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์
ถึงความเป็น ใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
มีใจประกอบด้วย กรุณา...มีใจประกอบด้วยมุทิตา...มีใจประกอบด้วยอุเบกขา
แผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้
ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า
ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบ ด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่
หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี ความเบียดเบียนอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อย่างนี้แล ภิกษุจึงชื่อว่าถึงความเป็นพรหม
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=21&A=4617&Z=4990&pagebreak=0
พุทธวจน!! ภิกษุ เข้าถึงความเป็นเทพ...เป็นพรหม..ในขณะมีชีวิต
ตอบลบ[๑๙๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาทของมิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ประทับนั่งในวันอุโบสถ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นิ่งเงียบแล้ว ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้เงียบ ปราศจากเสียงสนทนา บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในสาระ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสงฆ์นี้ก็เป็นเช่นนั้น บริษัทเช่นใดที่บุคคลหาได้ยาก แม้เพื่อจะเห็นในโลก
ภิกษุสงฆ์นี้ก็เป็นเช่นนั้น บริษัทนี้ก็เป็นเช่นนั้น
บริษัทเช่นใดเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลีเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า
ภิกษุสงฆ์นี้ก็เป็นเช่นนั้น บริษัทนี้ก็เป็นเช่นนั้น
แม้ของน้อยที่เขาให้ในบริษัทเช่นใด ย่อมเป็นของมาก
ของมากที่เขาให้ในบริษัทเช่นใด ย่อมเป็นของมากยิ่งกว่า
ภิกษุสงฆ์นี้ก็เป็นเช่นนั้น บริษัทนี้ก็เป็นเช่นนั้น การไปเพื่อจะดู บริษัทเช่นใด แม้จะนับด้วยโยชน์ ถึงจะต้องเอาเสบียงทางไปก็ควรภิกษุสงฆ์นี้ ก็เป็นเช่นนั้น ภิกษุสงฆ์นี้เห็นปานนั้น คือ
ในภิกษุสงฆ์นี้
ภิกษุทั้งหลายที่ถึงความเป็นเทพก็มี
ภิกษุทั้งหลายที่ถึงความเป็นพรหมก็มี
ภิกษุทั้งหลายที่ถึงชั้นอเนญชาก็มี
ภิกษุทั้งหลายที่ถึงความเป็นอริยะก็มี
...ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/read/?21/190