วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

อริยสัจ’ จากพระราชดำรัส ‘ในหลวง’

อริยสัจ’ จากพระราชดำรัส ‘ในหลวง’
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสสอนพุทธธรรมแก่ประชาชนที่ได้เข้าเฝ้าหลายครั้ง
เช่นพระราชดำรัสในโอกาสที่คณะชาวห้วยขวาง พญาไท เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2521

       พระราชดำรัสในโอกาที่พระครูใบฎีกาเล็ก(ญานุตตโร) และคณะ เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2524

       พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2523
      
       พระราชดำรัสสอนธรรมะเรื่องอริยสัจ มีปรากฏ ดังนี้
      
    1. “แล้วก็ ทุกข์ อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ความทุกข์ที่อดอยากเท่านั้นเอง ทุกข์ของคนที่มีเงินมากร่ำรวย ก็มีความทุกข์มาก
เหมือนกัน บางคนนะร่ำรวยมากก็มีความทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีเงิน ต้นเหตุของความทุกข์อยู่ที่ใจ เราสามารถที่จะสร้าง
ทุกข์ขึ้นมาได้ให้มันเกิด เหมือนว่าเราสามารถที่จะเลือกว่าจะเอาทุกข์หรือเอาสุข” (สำนักราชเลขาธิการ, 2531)
      
    2. “ทุกข์ ที่ยังไม่มีอย่าให้เกิด ถ้าเราไม่ยอมให้เกิดขึ้น หมายความว่าทำจิตใจให้ผ่องใสตลอดเวลา ทำอะไรที่สุจริต
ตลอดเวลา ความทุกข์เกิดยาก เมื่อเกิดยากแล้วทุกข์เก่าที่มีอยู่มันก็ค่อยๆหายไป ก็ตามที่พระท่านบอกว่า ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง
ทุกข์ก็เป็นอนิจจัง”(อ้างแล้ว, 2531)
      
     3. “จิตใจที่เป็น ทุกข์ ก็เพราะรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ถ้าเราดูติดตามว่า ความรู้สึกว่าเป็นทุกข์เป็นอย่างไร แล้วก็ต่างกันนะ
คือ ทุกข์แล้วเดี๋ยวก็หายทุกข์ มันก็ทำให้ความทุกข์ในใจมันลดลง สบายเข้า”(พระราชวรมุนี, 2520 : 150)
      
    4. “สมุทัย คือ ต้นเหตุของทุกข์ เราต้องดูอะไร เราต้องดูใจ ใจเราเป็นอย่างไร จิตใจเราเป็นทุกข์เป็นสุข จะสมมุติว่า
เรากำลังหิว เราเห็นอาหารที่น่ารับประทาน เห็นเฉยๆ ก็มีความรู้สึกแล้วก็เป็นสุข เห็นน่ะเป็นสุข มันก็เกิดอยากแล้ว เราหิว
เราก็ควรจะรับประทานเพื่อประทังเพื่อแก้ความหิว นั่นเป็นของธรรมดาของโลก แล้วร่างกายเราทุกคนถ้าไม่มีอาหารละก็
จะรักษาร่างกายเอาไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องมีอาหารบริโภค แต่ถ้าเห็นแล้วก็เกิดความอยากรับประทานเพื่อที่จะพอประทัง
ชีวิตก็ยังไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเห็นแล้วว่าน่ารับประทาน แล้วก็ลงมือรับประทานเพราะมันอยาก นี้เกิดเป็นทุกข์แล้ว”
(สำนักราชเลขาธิการ, 2531)
      
       5. “ทุกข์ ธรรมดาที่มีอยู่นั้นก็มีไป เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป แต่ว่าทุกข์ที่เราสร้างขึ้น เราสามารถ ที่ควบคุมได้ถึงได้เรียกว่า
ตัดทุกข์ เพราะว่าทุกข์นั้นไม่เกิด” (อ้างแล้ว, 150)
      
       6. “พุทธศาสนาศึกษาอะไร ก็ศึกษาความทุกข์นี่เองความทุกข์ เป็นสิ่งที่คนไม่ชอบจึงต้องการให้พ้นทุกข์ พ้นทุกข์
สำหรับตัวเองแต่ละคนๆ แต่ว่าการให้พ้นทุกข์นี้ยากมาก เพราะว่ามีความรู้สึกว่าไม่เป็นทุกข์ มีความรู้สึกว่าเป็นสุข ครั้น
ใครมาทำให้เราเป็นทุกข์หรือแม้แต่มีความสุขน้อยลงไปก็ทำให้เราโกรธ ทำให้เราไม่พอใจ แล้วก็เดือดร้อนฟุ้งซ่านไม่มี
ความสุข แล้วก็มีความทุกข์” (อ้างแล้ว, 139)
      
       7. “ท่านสอนว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็หมายความว่า เราต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ทำอะไรผิดไป เป็นเกณฑ์ที่ช่วยเรา
ช่วยเราไม่ให้ผิดพลาดเสียหาย ไม่ใช่ขังเราในกรง ศีลนั้นนะเหมือนกรง เราอยู่ในกรง ทำนี้ก็ไม่ได้ ทำโน่นก็ไม่ได้ เพราะว่า
ท่านบอกว่าไม่ให้ทำ... เราเหมือนว่าอยู่ในกรง เราออกมาไม่ได้ แต่ถ้านึกดู สมมุติว่าเราอยู่ในที่ที่มีสัตว์ร้ายเต็มอย่างที่เคย
เห็นภาพยนตร์ เขาหย่อนคนที่ใส่เครื่องประดาน้ำลงไปในน้ำที่มีปลาฉลามแยะๆ เขาเอาปลาฉลามใส่กรงไม่ได้ ก็เอาตัวผู้
เป็นประดาน้ำลงไปในกรงเพื่อไม่ให้ปลาฉลามกัด ศีลนี้ก็กลายเป็นกรงเพื่อไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีมาแตะต้องเราได้ ก็เป็นกฎเกณฑ์
เหมือนกัน ในเวลานั้น ตอนแรก เราต้องให้ศีลมาควบคุมตัวเรา แล้วทีหลังศีลนั้นจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราไม่ให้เดือดร้อน
เพราะว่าถ้าทำผิดศีลนั้นนะเดือดร้อน เป็นการกระทำที่เป็นกรรมที่เดือดร้อน ก็เป็นอกุศลกรรม เป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้รับ
กุศลที่ไม่ดี ก็หมายความว่าศีลนี่ เป็นส่วนที่ท่านตั้งเอาไว้เพื่อที่จะป้องกันเรา” (อ้างแล้ว, 154-155)
      
       8. “สมาธิ ก็เพื่อที่จะให้จิตใจเราเข้มแข็ง สามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีสติสัมปชัญญะแล้ว เราเห็นอะไรทุกอย่าง
ทำอะไรก็เกิดผล จะเกิดผลอะไรเราก็รู้ อะไรที่ถูกต้องเราก็รู้ อะไรที่ไม่ถูกต้องเราก็รู้... รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เกิดความรู้ซึ่งมีผล
เป็นปัญญา รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร” (บุญเสริม บุญเจริญผล, 2539 : 149)
      
       9. “ความโง่หรือความไม่รู้จริงมันปิดบังใจและปิดบังความจริง ฉะนั้น จะต้องหาทางที่จะเปิด เปิดม่านนั้น การเปิดม่าน
นั้นก็ต้องพยายามที่จะทำให้ใจนี้สงบ วันนี้ก็มาถึง ที่เรียกว่า สมถะ หรือ สมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่ากลัว บางคนก็บอกว่าการ
นั่งสมาธินี้ระวังให้ดี อาจจะเป็นบ้าก็ได้... แต่ว่าสมาธินี้ก็ต้องเริ่มอย่างเบาๆก่อน... จะต้องเริ่มต้นด้วยการปัดกวาดสิ่งที่เป็นม่าน...
การที่จะให้เกิดความสงบคือสมาธินี้ ต้องพยายามดูให้เห็นว่าอะไรมาปิดบัง เมื่อถอนสิ่งที่ปิดบังนั้นทันใดก็ได้สมาธิ... สมมุติ
ว่าจะเดินไปออกประตู ถ้าเราบอกว่าเราดูผนังบ้าง ดูเพดานบ้าง ดูม่าน บ้าง เราก็ไม่มีทางที่จะดูประตู แต่ถ้าเราตัดสินใจว่า
ตอนนี้ไม่ใช่ภาระของเราที่จะดูเพดาน ดูฝาผนัง หรือดูอะไร แต่เป็นภาระที่จะไปหาประตู เราก็ถอนออกมาจากสิ่งที่เรากำลัง
ทำอยู่ ที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ ส่วนมากเรามีความชอบอะไรที่เรียกว่า มีกามราคะ มีโทสะคือพยาบาท และบางทีก็ไม่ใช่โทสะหรือ
ราคะอะไร มีความฟุ้งซ่านแกว่งไกวไปที่โน่นที่นี่... ไม่มีทางที่จะมีความสงบ หรือบางทีเราก็พยายามหาความสงบ แต่เราไม่มี
ความเพียงพอ เรามันง่วงเรามันหาว... บางทีก็ไม่เชื่อว่ามีประตูด้วยซ้ำ ต้องปัดกวาดความลังเลสงสัยอะไรต่างๆ เหล่านี้...
แต่ถ้าเราพยายามที่จะดูว่ามีสิ่งที่ปิดบัง และก็บอกว่าตอนนี้มันไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เวลาที่จะเอาสิ่งมาปิดบัง ถอนสิ่งปิดบังเหล่านี้
เราก็ได้สมาธิได้ทันทีเลย นี้เรียกว่าสมาธิ... เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง ก็จะมาเห็นใจของเรา ใจจะไม่เป็นสิ่งที่ลึกลับ ใจจะ
เป็นสิ่งที่เปิดเผย คือ เราเปิดเผยกับตัวเอง... วันนี้ใช้สมาธิทำให้ใจนี้นิ่งก่อน แล้วเมื่อมีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์เข้ามาทุกเมื่อตลอด
เวลา เมื่ออารมณ์เข้ามา เรากั้นอารมณ์นั้นไว้เท่าที่มีความสามารถ ด้วยการระงับนิวรณ์เหมือนระงับน้ำไม่ให้กระเพื่อม เราก็ดู
ดูใจก็เป็นการดูปฏิกิริยาของใจ ความเคลื่อนไหวของใจ... และก็ใจนี้ทำให้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์ ใจนี้เอง เมื่อมีความ
สุขบางทีก็ลิงโลดดีใจมาก อาจจะทำให้เสียหายก็ได้” (อ้างแล้ว, 136-139)
      
       10. “ถ้าเราทำบุญด้วยประการทั้งปวง คือ ทำดีด้วยความตั้งใจดี แล้วก็มีปีติขึ้นมา ได้รับผลของบุญแล้วเราทำสูงขึ้นไป
ทำต่อไป คิดให้ดีๆ จะเกิดที่เรียกว่า ปัญญา หรือ ความรู้ ปัญญานี้ไม่ได้หมายความว่าใครไปเรียนกลับมา ได้ดอกต้งดอกเตอร์
ไม่ใช่ นั่นเป็นปัญญาความรู้ทางโลกเขาใช้ แต่ปัญญาจริงๆ เห็นอะไรจริงๆ ที่ใจจริงๆ ถ้าเราทำบุญไปก็จะค่อยๆ เห็นความจริง
เป็นปัญญา เราจะสามารถที่จะควบคุมการเกิดของทุกข์ที่ใจ” (อ้างแล้ว, 149-150)
   
      11. “ที่ว่าทำบุญนั้นนะ ก็อยู่ในข้อที่เรียกว่า ทำทาน แล้วก็ที่ถูก ทำบุญแล้วก็พยายามทำอะไรที่ดี ที่ถูกต้อง ที่สวยงาม
ที่สุจริต ที่ไม่ทำให้เดือดร้อน ก็เป็นศีลแล้ว ก็เมื่อมีศีลแล้ว เราก็สามารถที่จะทำพิจารณาอะไรก็เป็นการภาวนา การภาวนาทำไป
ทำมาก็เป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วก็ภาวนาอยู่ตลอด ทุกวันติดต่อไป มันก็เกิดปัญญา พระท่านสรุปเสมอว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
นี้ก็คือ การสรุปของมรรครวมกัน เราก็ได้อริยสัจที่ 4 เมื่อเราได้อริยสัจที่ 4 แล้ว เราก็จะได้อริยสัจที่ 3 เพราะว่าถ้ามีปัญญาแล้ว
ก็หลุดพ้น”(อ้างแล้ว,151)
      
       (จากหนังสือเอกกษัตริย์อัจฉริยะ)
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 97 ธ.ค. 51 โดยกองบรรณาธิการ)

ที่มา http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9510000142420

อกาลิโก  ธรรมที่ให้ผลไม่ประกอบด้วยกาล หรือไม่ต้องรอกาลเวลาที่ได้รับผลแห่งธรรม ได้แก่ มรรคจิต 4 และผลจิต 4 เนื่องจาก มรรคจิตซึ่งเป็นกุศลชาติ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว หรือเมื่อบรรลุมรรคแล้ว อริยผลของกุศลนี้ได้แก่ ผลจิต อันเป็นวิบากชาตินั้นไม่ต้องรอเวลา ไม่มีระหว่างคั่น จะให้ผลในทันทีทันใด จึงเรียกว่า อกาลิกธรรม ซึ่งเมื่อมรรคจิตเกิด ผลจิตจะเกิดติดต่อกันเป็น อนันตรปัจจัย
------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

มหาปะเทสสี่

กถาว่าด้วยมหาปเทส ๔



ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงโภคนครแล้ว ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคประทับ ณ อานันทเจดีย์ ในโภคนครนั้น ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมหาปเทส ๔ เหล่านี้ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังต่อไปนี้


[๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่าอาวุโส ข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสข้อที่หนึ่งนี้ไว้ ฯ

            [๑๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้งปาโมกข์ อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาถูกต้องแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสข้อที่สองนี้ไว้ ฯ


[๑๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นเถระมากรูป อยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั้นจำมาถูกต้องแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสข้อที่สามนี้ไว้ ฯ

            [๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ ผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสข้อที่สี่นี้ไว้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ

            ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อานันทเจดีย์ในโภคนครนั้น ทรงกระทำธรรมกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา สมาธิอันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ

            [๑๑๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในโภคนครตามความพอพระทัยแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า

ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยังเมืองปาวา
            ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงเมืองปาวาแล้ว ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันของนายจุนทกัมมารบุตร ในเมืองปาวานั้น ฯ




   

นรกชื่อว่ามหาปริฬาหะ มีอยู่.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
นรกชื่อว่ามหาปริฬาหะ มีอยู่. 
ในนรกนั้น,  บุคคลยังเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยจักษุ 
แต่ได้เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว  ไม่เห็นรูปที่น่าปราถนาเลย;
เห็นรูปที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว  ไม่เห็นรูปที่น่าใคร่เลย;
เห็นรูปที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว  ไม่เห็นรูปที่น่าพอใจเลย.

ในนรกนั้น,  บุคคลยังฟังเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยโสตะ
แต่ได้ฟังเสียงที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว  ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าปรารถนาเลย;
ฟังเสียงที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว  ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าใคร่เลย;
ฟังเสียงที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว  ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าพอใจเลย.

ในนรกนั้น,  บุคคลยังรู้สึกกลิ่นอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยฆานะ 
แต่ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว  ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าปรารถนาเลย;
ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว  ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าใคร่เลย;
ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว  ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าพอใจเลย.

ในนรกนั้น,  บุคคลยังลิ้มรสอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยชิวหา 
แต่ได้ลิ้มรสที่ไม่ปรารถนาอย่างเดียว  ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าปราถนาเลย;
ได้ลิ้มรสที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว  ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าใคร่เลย;
ได้ลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว  ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าพอใจเลย.

ในนรกนั้น,  บุคคลยังถูกต้องโผฏฐัพพะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยกาย 
แต่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว  ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าปรารถนาเลย;
ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว  ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าใคร่เลย;
ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว  ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าพอใจเลย,

ในรกนั้น,  บุคคลยังรู้สึกธัมมารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยมโน 
แต่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว  ไม่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนาเลย;
ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว  ไม่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่น่าใคร่เลย;
ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว  ไม่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่น่าพอใจเลย.

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ความเร่าร้อนนั้น ใหญ่หลวงหนอ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  ความเร่าร้อนนั้น ใหญ่หลวงนักหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  มีไหม พระเจ้าข้า:  ความร้อนอื่นที่ใหญ่หลวงกว่า  น่ากลัวกว่า  กว่าความร้อนนี้?"


ดูก่อนภิกษุ ! 
มีอยู่:  ความเร่าร้อนอื่น ที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่ากว่าความร้อนนี้.

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ความร้อนอื่นที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่ากว่าความร้อนนี้ เป็นอย่างไรเล่า?"

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
ว่า "ทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ ";
ว่า "เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ ";
ว่า "ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ";
ว่า "ข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ"; 

สมณพราหมณ์เหล่านั้น  ย่อมยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย 
อันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส;
สมณพราหมณ์เหล่านั้น  ครั้นยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว,
ย่อมปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลายอันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส;
สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น  ครั้นปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว,

ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชาติ (ความเกิด) บ้าง;
ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชราบ้าง,
ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งมรณะบ้าง,
ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสบ้าง:
เรากล่าวว่า "สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นจากชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย คือไม่พ้นจากทุกข์" ดังนี้.

(ฝ่ายปฏิษักขนัย)

...  ฯลฯ ...

สูตรที่ ๓ ปปาตวรรค สัจจสังยุตต์ มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๖๒/๑๗๓๑, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่คิชฌกูฏ- บรรพต นครราชคฤห์;
http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/1370/index.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ไม่มีผู้นั้นหรือผู้อื่นในปฏิจจสมุปบาท

ทรงตรัส ...   สัมมาทิฏฐิ  ว่ามีอยู่ ๒  คือ    สาสวาสัมมาทิฏฐิ   กับ  อนาสวาสัมมาทิฏฐิ
ดังนั้น  เรื่องสัตว์มีมาก  มีน้อย ที่ตรัสนั้น  ย่อมไม่เนื่องกับ  มิจฉาทิฏฐิ  ๒  (ตายเกิด ตายสูญ)

ภิกษุ ท. !  อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น : สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่หมู่มนุษย์ มีน้อย; 
สัตว์ที่เกิดกลับเป็นอย่างอื่นจากหมู่มนุษย์ มีมากกว่าโดยแท้. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? 

ภิกษุ ท. !  ข้อนั้น เพราะความที่สัตว์เหล่านั้นไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่. 
อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า?   สี่อย่างคือ 
อริยสัจคือทุกข์ 
อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ 
อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ 
อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.

ภิกษุ ท.!  เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า
"ทุกข์ เป็นอย่างนี้,
เหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้",. ดังนี้
.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.

    (ในกรณีที่ไม่เห็นอริยสัจนั้น ยังมีผลทำให้ :
    
    สัตว์มาเกิดในมัชฌิมชนบท มีน้อย (๑๙/๕๗๘/๑๗๕๘).   < ---  "สัตว์มาเกิด"  ทรงตรัสแสดงด้วย "โวหารโลก"   ซึ่งเป็นสมมุติกถา
    สัตว์มีปัญญาจักษุ มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๕๙).
    สัตว์ไม่เสพของเมา มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๐).
    สัตว์เกิดเป็นสัตว์บก มีน้อย (สัตว์น้ำมาก) (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๑).
    สัตว์เอื้อเฟื้อมารดา มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๑).
    สัตว์เอื้อเฟื้อบิดา มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๒).
    สัตว์เอื้อเฟื้อสมณะ มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๓).
    สัตว์เอื้อเฟื้อพราหมณ์ มีน้อย (๑๙/๕๘๐/๑๗๖๔).
    สัตว์อ่อนน้อมถ่อมตน มีน้อย (๑๙/๕๘๐/๑๗๖๕).

^^^^

  พุทธประสงค์ที่แท้จริงคือ ทรงมุ่งที่จะแสดงเรื่อง  อริยสัจสี่  ต่างหาก !!! 

** สัตว์มาเกิดในมัชฌิมชนบท มีน้อย  <<<  แล้วคนที่เหลือทั้งโลกล่ะ **   ^^


ไม่มีสัตว์  ตัวตน  บุคคล  เรา  เขา  ใน  "ปฏิจจสมุปบาท"


คนดู

วิญญาณและนามรูป

---  >  วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือนามรูป

อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณ จักไม่ได้มีที่ตั้งที่
อาศัยในนามรูปแล้วไซร้ ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งทุกข์ คือ
ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป จะมีขึ้นมาให้เห็นได้ไหม ?
ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !

อานนท์ !  เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ นั่นแหละ
คือเหตุ นั่นแหละคือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือ
---  >    ปัจจัยของวิญญาณ นั้นคือนามรูป.

อานนท์ !
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
สัตว์โลก จึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง
จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง
คลองแห่งการเรียก (อธิวจน) ก็มีเพียงเท่านี้
คลองแห่งการพูดจา (นิรุตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้
คลองแห่งการบัญญัติ (ปญฺญตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้
เรื่องที่จะตอ้ งรู้ด้วยปัญญา (ปญฺญาวจร) ก็มีเพียงเท่า นี้
ความเวียนว่ายในวัฏฏะ ก็มีเพียงเท่านี้

>>>> นามรูปพร้อมทั้งวิญญาณตั้งอยู่  เพื่อการบัญญัติซึ่งความเป็นอย่างนี้<<<<<
(ของนามรูปกับวิญญาณ นั่นเอง).

มหา. ที. ๑๐/๗๔/๖๐.

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

พระพุทธภาษิต ที่ตรัสเรื่อง ... เทพ พรหม เทวดาต่างๆ อสูร ยักษ์ ฯลฯ

ภิกษุ ท.! ภิกษุ  ผู้ถึงความเป็นเทพ เป็นอย่างไรเล่า ? 
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกาม และสงัดแล้วจากสิ่งอันเป็นอกุศลทั้งหลาย
บรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่;
เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ บรรลุฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจใน
ภายใน ทำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร มีแแต่ปีติและสุข อัน
เกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่; เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติ-
สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้า
กล่าวว่า "ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข" ดังนี้ แล้วแลอยู่;
เพราะละสุขและละทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัส
ในกาลก่อน บรรลุฌานที่สี่ อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติ
บริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. 
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นเทพ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.

ภิกษุ ท.! ภิกษุ  ผู้ถึงความเป็นพรหม เป็นอย่างไรเล่า ? 
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ แผ่จิตอันประกอบด้วยเมตตา, กรุณา, มุฑิตา, อุเบกขา สู่ทิศที่หนึ่ง
ทิศที่สอง ที่สาม และที่สี่ โดยลักษณะอย่างเดียวกันตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง
ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ และด้านขวาง, ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา, กรุณา,
มุทิตา, อุเบกขา อันไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท เป็นจิตกว้างขวาง ประกอบด้วยคุณ
อันใหญ่หลวงหาประมาณมิได้ แล้วแลอยู่. 
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผู้ถึงความเป็นพรหม ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.

ภิกษุ ท.! ภิกษุ  ผู้ถึงอาเนญชา เป็นอย่างไรเล่า ? 
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้, เพราะผ่านพ้นการกำหนดจดหมายในรูปเสียได้ โดยประการทั้งปวง,
เพราะความดับแห่งการกำหนดหมายในอารมณ์ที่ขัดใจ. และเพราะการไม่ทำในใจ
ซึ่งการกำหนดหมายในภาวะต่าง ๆ เสียได้ เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการ
ทำในใจว่า "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด" ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นอากาสา-
นัญจายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจ
ว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจาย-
ตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง เข้าถึงอากิญจัญญยตนะ อันมีการทำในใจว่า
"อะไร ๆ ไม่มี" ดังนี้, แล้วแลอยู่; เพราะผ่านพ้นอากิญกัจจายตนะเสียได้
โดยประการทั้งปวง เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ, แล้วแลอยู่, 
ภิกษุ ท.!    ภิกษุ ผู้ถึงอาเนญชา ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.

ภิกษุ ท.! ภิกษุ  ผู้ถึงความเป็นอริยะ เป็นอย่างไรเล่า ? 
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ", ย่อมรู้ชัดตามที่เป็น
จริงว่า "เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ". ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ความ
ดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ", ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ข้อปฏิบัติ
เครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้.ๆ" ดังนี้. 
ภิกษุ ท.! ภิกษุผู้ถึงความเป็นอริยะ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
    

- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๔๙/๑๙๐.
http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/987/index.html


อสุรสูตร

[๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก  ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ 
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร  มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารจำพวก ๑ 
เป็นเช่นกับอสูร  แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารจำพวก ๑ 
เป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารจำพวก ๑ 
เป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารจำพวก ๑ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นเช่นกับอสูร  มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างไร 
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม แม้บริษัทของเขาก็เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม 
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างนี้แล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็บุคคลเป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างไร 
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม แต่บริษัทของเขาเป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม 
บุคคลเป็นเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างนี้แล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวารอย่างไร 
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม แต่บริษัทของเขาเป็นคนทุศีล มีบาปธรรม 
บุคคลเป็นคนเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวาร อย่างนี้แล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเป็นเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างไร 
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม แม้บริษัทของเขาก็เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม 
บุคคลเป็นคนเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวารอย่างนี้แล 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=21&A=2501&Z=2524&p
agebreak=0

ปฎิสนธิวิญญาณ

โดย คณะสหายธรรม
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=23


         ถาม  คนเราหากตาย วิญญาณออกจากร่าง เราจะรู้ตอนไหนว่าเราตายแล้ว 


         ตอบ  ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจคำว่าวิญญาณ เสียก่อนว่า 

         วิญญาณนั้นได้แก่ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ได้นึกคิดได้เป็นอย่างเดียวกับจิต 

         จิตกับวิญญาณนั้นเป็นคำที่ใช้แทนกันได้ 

         จิตที่ทำหน้าที่เกิดเรียกว่าปฏิสนธิจิต หรือปฏิสนธิวิญญาณ 

         จิตที่ทำหน้าที่เห็นทางตาเรียกว่า จักขุวิญญาณ 

         จิตที่ทำหน้าที่ได้ยินเสียงทางหูเรียกว่า โสตวิญญาณ 

         จิตที่ทำหน้าที่รู้กลิ่นทางจมูกเรียกว่า ฆานวิญญาณ 

         จิตที่ทำหน้าที่ลิ้มรสทางลิ้นเรียกว่า ชิวหาวิญญาณ 

         จิตที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางใจเรียกว่า มโนวิญญาณ 

         เพราะฉะนั้น จิตกับวิญญาณจึงเหมือนกัน เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ มิได้มีโลกของวิญญาณที่แยกออกไปต่างหากจากจิต 

         คือมิได้มีโลกของวิญญาณตามที่หลายคนเข้าใจ คือมีหลายคนเข้าใจว่าสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะออกจากร่างกายไปล่องลอยหาที่เกิดหรือไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อรอเวลาไปเกิดใหม่ คือรอเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก ความจริง ความเข้าใจเหล่านั้นเป็นความเข้าใจผิด 

         พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนั้น พระองค์ตรัสแต่ว่า เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด 

         ถ้าบาปกรรมนำเกิด ก็เกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายหรือสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าบุญกรรมนำเกิด ก็เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีการรอเวลา หรือต้องไปพักอยู่ที่ใดเลย เพราะตายแล้วเกิดทันที สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ด้วยเหตุนี้ ตอนตายจริงๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าตนกำลังตาย เพราะจิตที่กำลังตายกับจิตที่รู้ว่าตายแล้วหรือกำลังตายนั้นเป็นจิตคนละจิตกัน 

         และที่คุณถามว่า คนตายตอนวิญญาณออกจากร่าง 

         คำว่าวิญญาณออกจากร่างก็ไม่มี เพราะวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น คือ

                   เกิดทางตาก็ดับทางตา เกิดทางหูก็ดับทางหู

                   เกิดทางจมูกก็ดับทางจมูก เกิดทางลิ้นก็ดับทางลิ้น

                   เกิดทางกายก็ดับทางกาย เกิดทางใจก็ดับทางใจ

         เพราะฉะนั้นจึงออกไปจากร่างไม่ได้ 
ถ้าออกจากร่างได้ก็หมายความว่า วิญญาณไม่ดับจึงจะล่องลอยไปได้ ถ้าเช่นนั้นวิญญาณก็เป็นรูป ถึงจะล่องลอยไปไหนได้ และเมื่อวิญญาณไม่ดับล่องลอยไปได้ วิญญาณก็เป็นของเที่ยง ซึ่งผิดหลักพระพุทธศาสนาอีก 

         เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่เฉพาะแต่วิญญาณเท่านั้น รูป เวทนา สัญญา สังขารก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่เที่ยง คือไม่เกิดไม่ดับ หรือเกิดแล้วไม่ดับ 

         อีกประการหนึ่ง จิตหรือวิญญาณเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง จึงล่องลอยไปไหนไม่ได้ เกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น 

มหาวรรคที่ ๗ ๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑

มหาวรรคที่ ๗
๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑
             [๒๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง
คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อ
นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตาย
ก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับ
จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียก
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้
เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือ
ไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
ดังนี้ ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลาย
กำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ
             [๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ
เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี
บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี
บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น
ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ
             [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อย
กิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
บ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉัน
นั้นแล ฯ
             [๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคาย
ด้วยดีถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุ
ดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี
สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพ
เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข-
*โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้
ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่าย
แม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑