อริยสัจ’ จากพระราชดำรัส ‘ในหลวง’
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสสอนพุทธธรรมแก่ประชาชนที่ได้เข้าเฝ้าหลายครั้ง
เช่นพระราชดำรัสในโอกาสที่คณะชาวห้วยขวาง พญาไท เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2521
พระราชดำรัสในโอกาที่พระครูใบฎีกาเล็ก(ญานุตตโร) และคณะ เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2524
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2523
พระราชดำรัสสอนธรรมะเรื่องอริยสัจ มีปรากฏ ดังนี้
1. “แล้วก็ ทุกข์ อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ความทุกข์ที่อดอยากเท่านั้นเอง ทุกข์ของคนที่มีเงินมากร่ำรวย ก็มีความทุกข์มาก
เหมือนกัน บางคนนะร่ำรวยมากก็มีความทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีเงิน ต้นเหตุของความทุกข์อยู่ที่ใจ เราสามารถที่จะสร้าง
ทุกข์ขึ้นมาได้ให้มันเกิด เหมือนว่าเราสามารถที่จะเลือกว่าจะเอาทุกข์หรือเอาสุข” (สำนักราชเลขาธิการ, 2531)
2. “ทุกข์ ที่ยังไม่มีอย่าให้เกิด ถ้าเราไม่ยอมให้เกิดขึ้น หมายความว่าทำจิตใจให้ผ่องใสตลอดเวลา ทำอะไรที่สุจริต
ตลอดเวลา ความทุกข์เกิดยาก เมื่อเกิดยากแล้วทุกข์เก่าที่มีอยู่มันก็ค่อยๆหายไป ก็ตามที่พระท่านบอกว่า ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง
ทุกข์ก็เป็นอนิจจัง”(อ้างแล้ว, 2531)
3. “จิตใจที่เป็น ทุกข์ ก็เพราะรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ถ้าเราดูติดตามว่า ความรู้สึกว่าเป็นทุกข์เป็นอย่างไร แล้วก็ต่างกันนะ
คือ ทุกข์แล้วเดี๋ยวก็หายทุกข์ มันก็ทำให้ความทุกข์ในใจมันลดลง สบายเข้า”(พระราชวรมุนี, 2520 : 150)
4. “สมุทัย คือ ต้นเหตุของทุกข์ เราต้องดูอะไร เราต้องดูใจ ใจเราเป็นอย่างไร จิตใจเราเป็นทุกข์เป็นสุข จะสมมุติว่า
เรากำลังหิว เราเห็นอาหารที่น่ารับประทาน เห็นเฉยๆ ก็มีความรู้สึกแล้วก็เป็นสุข เห็นน่ะเป็นสุข มันก็เกิดอยากแล้ว เราหิว
เราก็ควรจะรับประทานเพื่อประทังเพื่อแก้ความหิว นั่นเป็นของธรรมดาของโลก แล้วร่างกายเราทุกคนถ้าไม่มีอาหารละก็
จะรักษาร่างกายเอาไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องมีอาหารบริโภค แต่ถ้าเห็นแล้วก็เกิดความอยากรับประทานเพื่อที่จะพอประทัง
ชีวิตก็ยังไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเห็นแล้วว่าน่ารับประทาน แล้วก็ลงมือรับประทานเพราะมันอยาก นี้เกิดเป็นทุกข์แล้ว”
(สำนักราชเลขาธิการ, 2531)
5. “ทุกข์ ธรรมดาที่มีอยู่นั้นก็มีไป เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป แต่ว่าทุกข์ที่เราสร้างขึ้น เราสามารถ ที่ควบคุมได้ถึงได้เรียกว่า
ตัดทุกข์ เพราะว่าทุกข์นั้นไม่เกิด” (อ้างแล้ว, 150)
6. “พุทธศาสนาศึกษาอะไร ก็ศึกษาความทุกข์นี่เองความทุกข์ เป็นสิ่งที่คนไม่ชอบจึงต้องการให้พ้นทุกข์ พ้นทุกข์
สำหรับตัวเองแต่ละคนๆ แต่ว่าการให้พ้นทุกข์นี้ยากมาก เพราะว่ามีความรู้สึกว่าไม่เป็นทุกข์ มีความรู้สึกว่าเป็นสุข ครั้น
ใครมาทำให้เราเป็นทุกข์หรือแม้แต่มีความสุขน้อยลงไปก็ทำให้เราโกรธ ทำให้เราไม่พอใจ แล้วก็เดือดร้อนฟุ้งซ่านไม่มี
ความสุข แล้วก็มีความทุกข์” (อ้างแล้ว, 139)
7. “ท่านสอนว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็หมายความว่า เราต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ทำอะไรผิดไป เป็นเกณฑ์ที่ช่วยเรา
ช่วยเราไม่ให้ผิดพลาดเสียหาย ไม่ใช่ขังเราในกรง ศีลนั้นนะเหมือนกรง เราอยู่ในกรง ทำนี้ก็ไม่ได้ ทำโน่นก็ไม่ได้ เพราะว่า
ท่านบอกว่าไม่ให้ทำ... เราเหมือนว่าอยู่ในกรง เราออกมาไม่ได้ แต่ถ้านึกดู สมมุติว่าเราอยู่ในที่ที่มีสัตว์ร้ายเต็มอย่างที่เคย
เห็นภาพยนตร์ เขาหย่อนคนที่ใส่เครื่องประดาน้ำลงไปในน้ำที่มีปลาฉลามแยะๆ เขาเอาปลาฉลามใส่กรงไม่ได้ ก็เอาตัวผู้
เป็นประดาน้ำลงไปในกรงเพื่อไม่ให้ปลาฉลามกัด ศีลนี้ก็กลายเป็นกรงเพื่อไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีมาแตะต้องเราได้ ก็เป็นกฎเกณฑ์
เหมือนกัน ในเวลานั้น ตอนแรก เราต้องให้ศีลมาควบคุมตัวเรา แล้วทีหลังศีลนั้นจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราไม่ให้เดือดร้อน
เพราะว่าถ้าทำผิดศีลนั้นนะเดือดร้อน เป็นการกระทำที่เป็นกรรมที่เดือดร้อน ก็เป็นอกุศลกรรม เป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้รับ
กุศลที่ไม่ดี ก็หมายความว่าศีลนี่ เป็นส่วนที่ท่านตั้งเอาไว้เพื่อที่จะป้องกันเรา” (อ้างแล้ว, 154-155)
8. “สมาธิ ก็เพื่อที่จะให้จิตใจเราเข้มแข็ง สามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีสติสัมปชัญญะแล้ว เราเห็นอะไรทุกอย่าง
ทำอะไรก็เกิดผล จะเกิดผลอะไรเราก็รู้ อะไรที่ถูกต้องเราก็รู้ อะไรที่ไม่ถูกต้องเราก็รู้... รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เกิดความรู้ซึ่งมีผล
เป็นปัญญา รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร” (บุญเสริม บุญเจริญผล, 2539 : 149)
9. “ความโง่หรือความไม่รู้จริงมันปิดบังใจและปิดบังความจริง ฉะนั้น จะต้องหาทางที่จะเปิด เปิดม่านนั้น การเปิดม่าน
นั้นก็ต้องพยายามที่จะทำให้ใจนี้สงบ วันนี้ก็มาถึง ที่เรียกว่า สมถะ หรือ สมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่ากลัว บางคนก็บอกว่าการ
นั่งสมาธินี้ระวังให้ดี อาจจะเป็นบ้าก็ได้... แต่ว่าสมาธินี้ก็ต้องเริ่มอย่างเบาๆก่อน... จะต้องเริ่มต้นด้วยการปัดกวาดสิ่งที่เป็นม่าน...
การที่จะให้เกิดความสงบคือสมาธินี้ ต้องพยายามดูให้เห็นว่าอะไรมาปิดบัง เมื่อถอนสิ่งที่ปิดบังนั้นทันใดก็ได้สมาธิ... สมมุติ
ว่าจะเดินไปออกประตู ถ้าเราบอกว่าเราดูผนังบ้าง ดูเพดานบ้าง ดูม่าน บ้าง เราก็ไม่มีทางที่จะดูประตู แต่ถ้าเราตัดสินใจว่า
ตอนนี้ไม่ใช่ภาระของเราที่จะดูเพดาน ดูฝาผนัง หรือดูอะไร แต่เป็นภาระที่จะไปหาประตู เราก็ถอนออกมาจากสิ่งที่เรากำลัง
ทำอยู่ ที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ ส่วนมากเรามีความชอบอะไรที่เรียกว่า มีกามราคะ มีโทสะคือพยาบาท และบางทีก็ไม่ใช่โทสะหรือ
ราคะอะไร มีความฟุ้งซ่านแกว่งไกวไปที่โน่นที่นี่... ไม่มีทางที่จะมีความสงบ หรือบางทีเราก็พยายามหาความสงบ แต่เราไม่มี
ความเพียงพอ เรามันง่วงเรามันหาว... บางทีก็ไม่เชื่อว่ามีประตูด้วยซ้ำ ต้องปัดกวาดความลังเลสงสัยอะไรต่างๆ เหล่านี้...
แต่ถ้าเราพยายามที่จะดูว่ามีสิ่งที่ปิดบัง และก็บอกว่าตอนนี้มันไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เวลาที่จะเอาสิ่งมาปิดบัง ถอนสิ่งปิดบังเหล่านี้
เราก็ได้สมาธิได้ทันทีเลย นี้เรียกว่าสมาธิ... เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง ก็จะมาเห็นใจของเรา ใจจะไม่เป็นสิ่งที่ลึกลับ ใจจะ
เป็นสิ่งที่เปิดเผย คือ เราเปิดเผยกับตัวเอง... วันนี้ใช้สมาธิทำให้ใจนี้นิ่งก่อน แล้วเมื่อมีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์เข้ามาทุกเมื่อตลอด
เวลา เมื่ออารมณ์เข้ามา เรากั้นอารมณ์นั้นไว้เท่าที่มีความสามารถ ด้วยการระงับนิวรณ์เหมือนระงับน้ำไม่ให้กระเพื่อม เราก็ดู
ดูใจก็เป็นการดูปฏิกิริยาของใจ ความเคลื่อนไหวของใจ... และก็ใจนี้ทำให้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์ ใจนี้เอง เมื่อมีความ
สุขบางทีก็ลิงโลดดีใจมาก อาจจะทำให้เสียหายก็ได้” (อ้างแล้ว, 136-139)
10. “ถ้าเราทำบุญด้วยประการทั้งปวง คือ ทำดีด้วยความตั้งใจดี แล้วก็มีปีติขึ้นมา ได้รับผลของบุญแล้วเราทำสูงขึ้นไป
ทำต่อไป คิดให้ดีๆ จะเกิดที่เรียกว่า ปัญญา หรือ ความรู้ ปัญญานี้ไม่ได้หมายความว่าใครไปเรียนกลับมา ได้ดอกต้งดอกเตอร์
ไม่ใช่ นั่นเป็นปัญญาความรู้ทางโลกเขาใช้ แต่ปัญญาจริงๆ เห็นอะไรจริงๆ ที่ใจจริงๆ ถ้าเราทำบุญไปก็จะค่อยๆ เห็นความจริง
เป็นปัญญา เราจะสามารถที่จะควบคุมการเกิดของทุกข์ที่ใจ” (อ้างแล้ว, 149-150)
11. “ที่ว่าทำบุญนั้นนะ ก็อยู่ในข้อที่เรียกว่า ทำทาน แล้วก็ที่ถูก ทำบุญแล้วก็พยายามทำอะไรที่ดี ที่ถูกต้อง ที่สวยงาม
ที่สุจริต ที่ไม่ทำให้เดือดร้อน ก็เป็นศีลแล้ว ก็เมื่อมีศีลแล้ว เราก็สามารถที่จะทำพิจารณาอะไรก็เป็นการภาวนา การภาวนาทำไป
ทำมาก็เป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วก็ภาวนาอยู่ตลอด ทุกวันติดต่อไป มันก็เกิดปัญญา พระท่านสรุปเสมอว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
นี้ก็คือ การสรุปของมรรครวมกัน เราก็ได้อริยสัจที่ 4 เมื่อเราได้อริยสัจที่ 4 แล้ว เราก็จะได้อริยสัจที่ 3 เพราะว่าถ้ามีปัญญาแล้ว
ก็หลุดพ้น”(อ้างแล้ว,151)
(จากหนังสือเอกกษัตริย์อัจฉริยะ)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 97 ธ.ค. 51 โดยกองบรรณาธิการ)
ที่มา http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9510000142420
อกาลิโก ธรรมที่ให้ผลไม่ประกอบด้วยกาล หรือไม่ต้องรอกาลเวลาที่ได้รับผลแห่งธรรม ได้แก่ มรรคจิต 4 และผลจิต 4 เนื่องจาก มรรคจิตซึ่งเป็นกุศลชาติ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว หรือเมื่อบรรลุมรรคแล้ว อริยผลของกุศลนี้ได้แก่ ผลจิต อันเป็นวิบากชาตินั้นไม่ต้องรอเวลา ไม่มีระหว่างคั่น จะให้ผลในทันทีทันใด จึงเรียกว่า อกาลิกธรรม ซึ่งเมื่อมรรคจิตเกิด ผลจิตจะเกิดติดต่อกันเป็น อนันตรปัจจัย
------------------------------------------
เช่นพระราชดำรัสในโอกาสที่คณะชาวห้วยขวาง พญาไท เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2521
พระราชดำรัสในโอกาที่พระครูใบฎีกาเล็ก(ญานุตตโร) และคณะ เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2524
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2523
พระราชดำรัสสอนธรรมะเรื่องอริยสัจ มีปรากฏ ดังนี้
1. “แล้วก็ ทุกข์ อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ความทุกข์ที่อดอยากเท่านั้นเอง ทุกข์ของคนที่มีเงินมากร่ำรวย ก็มีความทุกข์มาก
เหมือนกัน บางคนนะร่ำรวยมากก็มีความทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีเงิน ต้นเหตุของความทุกข์อยู่ที่ใจ เราสามารถที่จะสร้าง
ทุกข์ขึ้นมาได้ให้มันเกิด เหมือนว่าเราสามารถที่จะเลือกว่าจะเอาทุกข์หรือเอาสุข” (สำนักราชเลขาธิการ, 2531)
2. “ทุกข์ ที่ยังไม่มีอย่าให้เกิด ถ้าเราไม่ยอมให้เกิดขึ้น หมายความว่าทำจิตใจให้ผ่องใสตลอดเวลา ทำอะไรที่สุจริต
ตลอดเวลา ความทุกข์เกิดยาก เมื่อเกิดยากแล้วทุกข์เก่าที่มีอยู่มันก็ค่อยๆหายไป ก็ตามที่พระท่านบอกว่า ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง
ทุกข์ก็เป็นอนิจจัง”(อ้างแล้ว, 2531)
3. “จิตใจที่เป็น ทุกข์ ก็เพราะรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ถ้าเราดูติดตามว่า ความรู้สึกว่าเป็นทุกข์เป็นอย่างไร แล้วก็ต่างกันนะ
คือ ทุกข์แล้วเดี๋ยวก็หายทุกข์ มันก็ทำให้ความทุกข์ในใจมันลดลง สบายเข้า”(พระราชวรมุนี, 2520 : 150)
4. “สมุทัย คือ ต้นเหตุของทุกข์ เราต้องดูอะไร เราต้องดูใจ ใจเราเป็นอย่างไร จิตใจเราเป็นทุกข์เป็นสุข จะสมมุติว่า
เรากำลังหิว เราเห็นอาหารที่น่ารับประทาน เห็นเฉยๆ ก็มีความรู้สึกแล้วก็เป็นสุข เห็นน่ะเป็นสุข มันก็เกิดอยากแล้ว เราหิว
เราก็ควรจะรับประทานเพื่อประทังเพื่อแก้ความหิว นั่นเป็นของธรรมดาของโลก แล้วร่างกายเราทุกคนถ้าไม่มีอาหารละก็
จะรักษาร่างกายเอาไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องมีอาหารบริโภค แต่ถ้าเห็นแล้วก็เกิดความอยากรับประทานเพื่อที่จะพอประทัง
ชีวิตก็ยังไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเห็นแล้วว่าน่ารับประทาน แล้วก็ลงมือรับประทานเพราะมันอยาก นี้เกิดเป็นทุกข์แล้ว”
(สำนักราชเลขาธิการ, 2531)
5. “ทุกข์ ธรรมดาที่มีอยู่นั้นก็มีไป เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป แต่ว่าทุกข์ที่เราสร้างขึ้น เราสามารถ ที่ควบคุมได้ถึงได้เรียกว่า
ตัดทุกข์ เพราะว่าทุกข์นั้นไม่เกิด” (อ้างแล้ว, 150)
6. “พุทธศาสนาศึกษาอะไร ก็ศึกษาความทุกข์นี่เองความทุกข์ เป็นสิ่งที่คนไม่ชอบจึงต้องการให้พ้นทุกข์ พ้นทุกข์
สำหรับตัวเองแต่ละคนๆ แต่ว่าการให้พ้นทุกข์นี้ยากมาก เพราะว่ามีความรู้สึกว่าไม่เป็นทุกข์ มีความรู้สึกว่าเป็นสุข ครั้น
ใครมาทำให้เราเป็นทุกข์หรือแม้แต่มีความสุขน้อยลงไปก็ทำให้เราโกรธ ทำให้เราไม่พอใจ แล้วก็เดือดร้อนฟุ้งซ่านไม่มี
ความสุข แล้วก็มีความทุกข์” (อ้างแล้ว, 139)
7. “ท่านสอนว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็หมายความว่า เราต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ทำอะไรผิดไป เป็นเกณฑ์ที่ช่วยเรา
ช่วยเราไม่ให้ผิดพลาดเสียหาย ไม่ใช่ขังเราในกรง ศีลนั้นนะเหมือนกรง เราอยู่ในกรง ทำนี้ก็ไม่ได้ ทำโน่นก็ไม่ได้ เพราะว่า
ท่านบอกว่าไม่ให้ทำ... เราเหมือนว่าอยู่ในกรง เราออกมาไม่ได้ แต่ถ้านึกดู สมมุติว่าเราอยู่ในที่ที่มีสัตว์ร้ายเต็มอย่างที่เคย
เห็นภาพยนตร์ เขาหย่อนคนที่ใส่เครื่องประดาน้ำลงไปในน้ำที่มีปลาฉลามแยะๆ เขาเอาปลาฉลามใส่กรงไม่ได้ ก็เอาตัวผู้
เป็นประดาน้ำลงไปในกรงเพื่อไม่ให้ปลาฉลามกัด ศีลนี้ก็กลายเป็นกรงเพื่อไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีมาแตะต้องเราได้ ก็เป็นกฎเกณฑ์
เหมือนกัน ในเวลานั้น ตอนแรก เราต้องให้ศีลมาควบคุมตัวเรา แล้วทีหลังศีลนั้นจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราไม่ให้เดือดร้อน
เพราะว่าถ้าทำผิดศีลนั้นนะเดือดร้อน เป็นการกระทำที่เป็นกรรมที่เดือดร้อน ก็เป็นอกุศลกรรม เป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้รับ
กุศลที่ไม่ดี ก็หมายความว่าศีลนี่ เป็นส่วนที่ท่านตั้งเอาไว้เพื่อที่จะป้องกันเรา” (อ้างแล้ว, 154-155)
8. “สมาธิ ก็เพื่อที่จะให้จิตใจเราเข้มแข็ง สามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีสติสัมปชัญญะแล้ว เราเห็นอะไรทุกอย่าง
ทำอะไรก็เกิดผล จะเกิดผลอะไรเราก็รู้ อะไรที่ถูกต้องเราก็รู้ อะไรที่ไม่ถูกต้องเราก็รู้... รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เกิดความรู้ซึ่งมีผล
เป็นปัญญา รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร” (บุญเสริม บุญเจริญผล, 2539 : 149)
9. “ความโง่หรือความไม่รู้จริงมันปิดบังใจและปิดบังความจริง ฉะนั้น จะต้องหาทางที่จะเปิด เปิดม่านนั้น การเปิดม่าน
นั้นก็ต้องพยายามที่จะทำให้ใจนี้สงบ วันนี้ก็มาถึง ที่เรียกว่า สมถะ หรือ สมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่ากลัว บางคนก็บอกว่าการ
นั่งสมาธินี้ระวังให้ดี อาจจะเป็นบ้าก็ได้... แต่ว่าสมาธินี้ก็ต้องเริ่มอย่างเบาๆก่อน... จะต้องเริ่มต้นด้วยการปัดกวาดสิ่งที่เป็นม่าน...
การที่จะให้เกิดความสงบคือสมาธินี้ ต้องพยายามดูให้เห็นว่าอะไรมาปิดบัง เมื่อถอนสิ่งที่ปิดบังนั้นทันใดก็ได้สมาธิ... สมมุติ
ว่าจะเดินไปออกประตู ถ้าเราบอกว่าเราดูผนังบ้าง ดูเพดานบ้าง ดูม่าน บ้าง เราก็ไม่มีทางที่จะดูประตู แต่ถ้าเราตัดสินใจว่า
ตอนนี้ไม่ใช่ภาระของเราที่จะดูเพดาน ดูฝาผนัง หรือดูอะไร แต่เป็นภาระที่จะไปหาประตู เราก็ถอนออกมาจากสิ่งที่เรากำลัง
ทำอยู่ ที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ ส่วนมากเรามีความชอบอะไรที่เรียกว่า มีกามราคะ มีโทสะคือพยาบาท และบางทีก็ไม่ใช่โทสะหรือ
ราคะอะไร มีความฟุ้งซ่านแกว่งไกวไปที่โน่นที่นี่... ไม่มีทางที่จะมีความสงบ หรือบางทีเราก็พยายามหาความสงบ แต่เราไม่มี
ความเพียงพอ เรามันง่วงเรามันหาว... บางทีก็ไม่เชื่อว่ามีประตูด้วยซ้ำ ต้องปัดกวาดความลังเลสงสัยอะไรต่างๆ เหล่านี้...
แต่ถ้าเราพยายามที่จะดูว่ามีสิ่งที่ปิดบัง และก็บอกว่าตอนนี้มันไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เวลาที่จะเอาสิ่งมาปิดบัง ถอนสิ่งปิดบังเหล่านี้
เราก็ได้สมาธิได้ทันทีเลย นี้เรียกว่าสมาธิ... เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง ก็จะมาเห็นใจของเรา ใจจะไม่เป็นสิ่งที่ลึกลับ ใจจะ
เป็นสิ่งที่เปิดเผย คือ เราเปิดเผยกับตัวเอง... วันนี้ใช้สมาธิทำให้ใจนี้นิ่งก่อน แล้วเมื่อมีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์เข้ามาทุกเมื่อตลอด
เวลา เมื่ออารมณ์เข้ามา เรากั้นอารมณ์นั้นไว้เท่าที่มีความสามารถ ด้วยการระงับนิวรณ์เหมือนระงับน้ำไม่ให้กระเพื่อม เราก็ดู
ดูใจก็เป็นการดูปฏิกิริยาของใจ ความเคลื่อนไหวของใจ... และก็ใจนี้ทำให้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์ ใจนี้เอง เมื่อมีความ
สุขบางทีก็ลิงโลดดีใจมาก อาจจะทำให้เสียหายก็ได้” (อ้างแล้ว, 136-139)
10. “ถ้าเราทำบุญด้วยประการทั้งปวง คือ ทำดีด้วยความตั้งใจดี แล้วก็มีปีติขึ้นมา ได้รับผลของบุญแล้วเราทำสูงขึ้นไป
ทำต่อไป คิดให้ดีๆ จะเกิดที่เรียกว่า ปัญญา หรือ ความรู้ ปัญญานี้ไม่ได้หมายความว่าใครไปเรียนกลับมา ได้ดอกต้งดอกเตอร์
ไม่ใช่ นั่นเป็นปัญญาความรู้ทางโลกเขาใช้ แต่ปัญญาจริงๆ เห็นอะไรจริงๆ ที่ใจจริงๆ ถ้าเราทำบุญไปก็จะค่อยๆ เห็นความจริง
เป็นปัญญา เราจะสามารถที่จะควบคุมการเกิดของทุกข์ที่ใจ” (อ้างแล้ว, 149-150)
11. “ที่ว่าทำบุญนั้นนะ ก็อยู่ในข้อที่เรียกว่า ทำทาน แล้วก็ที่ถูก ทำบุญแล้วก็พยายามทำอะไรที่ดี ที่ถูกต้อง ที่สวยงาม
ที่สุจริต ที่ไม่ทำให้เดือดร้อน ก็เป็นศีลแล้ว ก็เมื่อมีศีลแล้ว เราก็สามารถที่จะทำพิจารณาอะไรก็เป็นการภาวนา การภาวนาทำไป
ทำมาก็เป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วก็ภาวนาอยู่ตลอด ทุกวันติดต่อไป มันก็เกิดปัญญา พระท่านสรุปเสมอว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
นี้ก็คือ การสรุปของมรรครวมกัน เราก็ได้อริยสัจที่ 4 เมื่อเราได้อริยสัจที่ 4 แล้ว เราก็จะได้อริยสัจที่ 3 เพราะว่าถ้ามีปัญญาแล้ว
ก็หลุดพ้น”(อ้างแล้ว,151)
(จากหนังสือเอกกษัตริย์อัจฉริยะ)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 97 ธ.ค. 51 โดยกองบรรณาธิการ)
ที่มา http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9510000142420
อกาลิโก ธรรมที่ให้ผลไม่ประกอบด้วยกาล หรือไม่ต้องรอกาลเวลาที่ได้รับผลแห่งธรรม ได้แก่ มรรคจิต 4 และผลจิต 4 เนื่องจาก มรรคจิตซึ่งเป็นกุศลชาติ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว หรือเมื่อบรรลุมรรคแล้ว อริยผลของกุศลนี้ได้แก่ ผลจิต อันเป็นวิบากชาตินั้นไม่ต้องรอเวลา ไม่มีระหว่างคั่น จะให้ผลในทันทีทันใด จึงเรียกว่า อกาลิกธรรม ซึ่งเมื่อมรรคจิตเกิด ผลจิตจะเกิดติดต่อกันเป็น อนันตรปัจจัย
------------------------------------------

นรกชื่อว่ามหาปริฬาหะ มีอยู่.
ในนรกนั้น, บุคคลยังเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยจักษุ
แต่ได้เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าปราถนาเลย;
เห็นรูปที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าใคร่เลย;
เห็นรูปที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าพอใจเลย.
ในนรกนั้น, บุคคลยังฟังเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยโสตะ
แต่ได้ฟังเสียงที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าปรารถนาเลย;
ฟังเสียงที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าใคร่เลย;
ฟังเสียงที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าพอใจเลย.
ในนรกนั้น, บุคคลยังรู้สึกกลิ่นอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยฆานะ
แต่ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าปรารถนาเลย;
ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าใคร่เลย;
ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าพอใจเลย.
ในนรกนั้น, บุคคลยังลิ้มรสอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยชิวหา
แต่ได้ลิ้มรสที่ไม่ปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าปราถนาเลย;
ได้ลิ้มรสที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าใคร่เลย;
ได้ลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าพอใจเลย.
ในนรกนั้น, บุคคลยังถูกต้องโผฏฐัพพะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยกาย
แต่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าปรารถนาเลย;
ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าใคร่เลย;
ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าพอใจเลย,
ในรกนั้น, บุคคลยังรู้สึกธัมมารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยมโน
แต่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนาเลย;
ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่น่าใคร่เลย;
ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่น่าพอใจเลย.
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ความเร่าร้อนนั้น ใหญ่หลวงหนอ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ความเร่าร้อนนั้น ใหญ่หลวงนักหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีไหม พระเจ้าข้า: ความร้อนอื่นที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่า กว่าความร้อนนี้?"
ดูก่อนภิกษุ !
มีอยู่: ความเร่าร้อนอื่น ที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่ากว่าความร้อนนี้.
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ความร้อนอื่นที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่ากว่าความร้อนนี้ เป็นอย่างไรเล่า?"
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
ว่า "ทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ ";
ว่า "เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ ";
ว่า "ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ";
ว่า "ข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ";
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย
อันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส;
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว,
ย่อมปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลายอันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส;
สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว,
ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชาติ (ความเกิด) บ้าง;
ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชราบ้าง,
ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งมรณะบ้าง,
ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสบ้าง:
เรากล่าวว่า "สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นจากชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย คือไม่พ้นจากทุกข์" ดังนี้.
(ฝ่ายปฏิษักขนัย)
... ฯลฯ ...
สูตรที่ ๓ ปปาตวรรค สัจจสังยุตต์ มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๖๒/๑๗๓๑, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่คิชฌกูฏ- บรรพต นครราชคฤห์;
http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/1370/index.html